นี่คือคำถามยอดฮิตที่มีคนถามผมในทุกคลาสที่ผมสอน จากประสบการณ์ที่ผมทำออนไลน์มา 8-9 ปี ผมพบว่าคำถามนี้มักจะมาจาก SME ที่ “กำลังเติบโต” หรือ “โตแล้ว” มักจะไม่ค่อยมาจาก “SME ที่พึ่งเริ่มต้น” เหตุผลอาจจะเพราะ SME ที่พึ่งเริ่มต้นขอแค่ขายให้ได้กำไรไปทุกวันในช่วงแรกๆก็พอใจแล้ว

แต่ SME 2 แบบแรกนั้นไม่ใช่ เพราะโดยมากจะต้องการ “แผนหรือแนวทางระยะกลาง” เช่น 3 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อที่จะได้วางแผนในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายกับส่วนอื่นๆในบริษัทได้ถูก

คำตอบของผมนั้น เอาแบบสั้นๆก็คือ งบค่าโฆษณาควรอยู่ที่ประมาณ 3-10% ของยอดขาย ลูกค้าผมส่วนใหญ่ที่เป็น SME ตัวเลขมักจะอยู่ที่ประมาณนี้ สมัยก่อนผมตั้งคำถามกับตัวเลขสัดส่วนค่าโฆษณาของยอดขายนี้ว่า

ทำไมต้องเป็น 3-10% ของยอดขาย? เป็นอย่างอื่นได้ไหม? มันมีเหตุผลจริงๆ หรือว่าแค่ตั้งๆตามกันไปอย่างนั้น

และผมก็พบคำอธิบายแบบหนึ่งที่ “ฟังขึ้น” ก็คือ ตัวเลขนี้ มาจากงบการเงินในบริษัท หรือจะมองว่ามาจากโครงสร้างของการเงินในบริษัทก็ได้ เช่น

สมมติ บริษัทนึงมียอดขายต่อปี 100 ล้านบาท ถ้าเป็นธุรกิจที่ยอดขายระดับนี้ โดยมากมักจะต้องมีการบริหารโครงสร้างทางการเงินที่เป็นรูปธรรม

ซึ่งผมคิดว่า หลักการที่ดูวิชาการนี้ คำถามจริงๆคงเริ่มมาจาก “เราได้กำไรเท่าไหร่(ฟะ?)” เช่น

ปีที่ผ่านมายอดขายเราได้ 100 บาท เราจ่ายค่าอะไรไปแล้วบ้าง?

เช่น

ยอดขาย 100 บาท

ค่าต้นทุนสินค้า 40 บาท

ค่าบริหารจัดการ 10 บาท

ค่าพนักงาน 15 บาท

ถ้ามองถึงแค่ตรงนี้ ยอดขายเราจาก 100 บาท เราจะเหลือกำไรประมาณ 35 บาทแล้ว (100บาท – 40บาท – 10บาท – 15บาท = 35 บาท)

คำถามคือ ค่าการตลาดควรจะเป็นเท่าไหร่ล่ะทีนี้?

ถ้าสมมติค่าการตลาดหรือโฆษณาเป็น 20 บาท

แปลว่าเราเหลือกำไร เพียงแค่ 15 บาท  (มาจากกำไรจากข้อบน 35 บาท – ค่าการตลาด 20 บาท)

ซึ่งบางคนก็บอกรับได้ บางคนอาจจะบอกรับไม่ได้…

แต่ถ้าสมมติ ค่าการตลาดหรือค่าโฆษณาเป็น 5 บาท

เราก็จะเหลือกำไรเพิ่มเป็นถึง 30 บาท 

แปลว่าถ้ายอดขายปีละ 100 ล้านบาท เราก็จะได้กำไร 30 ล้านบาท ซึ่งถ้าในกรณีนี้แน่นอนว่าเราต้องแฮปปี้กว่า 15 ล้านบาทแน่นอน! (ยังไม่รวมเรื่องภาษีอีก)

สรุปแล้วนี่แหล่ะครับ คือคำอธิบายหนึ่งๆว่าที่มาที่ไปของค่าโฆษณาถึงอยู่ประมาณ 3-10% ของยอดขาย คืออะไร?

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด ถ้าจะพูดให้ชัดสิ่งเหล่านี้ “ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” แต่เป็น “ความเห็น” 

หมายความว่า ทุกๆอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้ ตามเหตุและปัจจัยต่างๆที่เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ และสถานการณ์

เช่น ถ้าคุณมองว่า คุณมีต้นทุนการตลาดอื่นๆอีก เช่นบางคนสินค้าวางขายอยู่ใน Modern trade ต่างๆ ซึ่งมีค่า GP อีก ดังนั้นบางคนอาจจะบอกว่าต้องเสียค่าโฆษณาต่ำๆหน่อย เพราะการวางสินค้าใน Modern trade ก็คือเป็นค่าใช้จ่ายทางการตลาดอยู่แล้ว

ในขณะที่บางคน เป็นตัวแทนขายสินค้าให้กับสินค้าแบรนด์ดังๆ เช่น สมมติคุณเป็นตัวแทนขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังๆในตลาด ถ้ามองในมุมนึงแล้ว “ตัวคุณนั่นแหล่ะ คือค่าการตลาดของแบรนด์มือถือยี่ห้อนั้น” ดังนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น คุณก็ต้องคำนวณให้ดีว่า ส่วนต่างกำไรที่เค้าจะแบ่งให้คุณนั้น คุณต้องบริหารจัดการอย่างไร?

อีกอย่างที่ผมมักจะเห็นเป็นประจำคือ บริษัทที่มีแบรนด์ หรือตราสินค้าที่แข็งแกร่ง ค่าสัดส่วนการตลาดจะน้อยกว่าบริษัทที่แบรนด์โนเนม หรือพึ่งเข้าตลาด ในกรณีที่ขายสินค้าและเจาะกลุ่มลูกค้าเดียวกัน

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า

งั้นทำยังไงให้ค่าโฆษณาออนไลน์ใช้ % น้อยๆล่ะ?

คำตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ คุณก็ต้อง “ทำโฆษณาให้เก่ง” 

ซึ่งการทำให้โฆษณาให้เก่งสำหรับผมนั้น ประกอบด้วย 5 ประเด็นหลักๆคือ

  1. กลยุทธ์การตลาดใหญ่ที่ครอบคลุม 4 เรื่องข้างล่าง
  2. คุณรู้วัตถุประสงค์ของโฆษณาแต่ละตัว แต่ละครั้งของคุณดีหรือยัง ว่าต้องการอะไรกันแน่?
  3. กลุ่มเป้าหมาย
  4. คอนเทนท์ และแบรนด์
  5. การวัดผล และปรับปรุงโฆษณา

ในแต่ละเรื่องของ 5 ข้อบนนี้ ล้วนมีเรื่องกว้างใหญ่ไพศาลให้ต้องทำความเข้าใจเรียนรู้ และพัฒนาไปเรื่อยๆ

ยิ่งคุณรู้มาก เข้าใจมาก และปรับปรุงแต่ละข้อได้มากเท่าไหร่ สัดส่วนค่าโฆษณาออนไลน์ของคุณก็มีแนวโน้มจะใช้ % น้อยลงๆ หรือพูดให้ชัดก็คือ

คุณมีแนวโน้มจะได้ยอดขาย และกำไรมากขึ้นนั่นเอง!