เมื่อคืนนี้ 30 กรกฎาคม 62 ผมได้เข้าไปลอง set adset ปรากฎว่า targeting การยิงหาคนที่กดไลค์ตัวเอง (People connected to …) ไม่มีให้เลือกคนกดไลค์เพจแล้ว

และมีประกาศนี้ออกมาอย่างชัดเจน

Page connections now use Page engagement instead of likes to create your audience


แต่ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่า บาง ad account ผมก็ยังพบว่า ยังยิงหาคนกดไลค์เพจตัวเองได้อยู่


1. เท้าความก่อนว่า การยิงโฆษณาหาลูกเพจตัวเอง เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ “ดีที่สุด” เพราะตามหลักการของทฤษฎี Funnel หลักๆแล้วลูกค้ามีอยู่ด้วยกัน 5 สถานะ คือ

1.1) แค่ตระหนักรู้ (Awareness) >

1.2) พิจารณา (Consideration) >

1.3) กระเหี้ยนกระหือรือต้องการซื้อ (Purchase Intent) >

1.4) เป็นติ่งของแบรนด์ (Brand) >

1.5) ซื้อซ้ำ บอกต่อ (Re purchase & Advocate)

http://www.pakorn.in.th/google-adwords/buying-funnel/


ซึ่งการยิงโฆษณาหาลูกเพจตัวเองนั้น สำหรับแนวทางของผม ถือว่าเป็นคนที่อยู่ใน funnel ที่ 4 ; funnel brand


การที่เราขายคนให้คนที่ชอบเรา และติดตามเราอยู่แล้ว โดยค่าเฉลี่ยแล้วย่อมขายง่ายกว่า คนที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน


2. แต่ก็ต้องเท้าความต่ออีกว่า โดยปกติแล้ว เวลาผมทำโฆษณาให้ลูกค้า ทำให้ธุรกิจตัวเอง และสอนนักเรียน ผมย้ำเสมอว่า “คนกดไลค์เพจ” แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรในแง่ของการทำให้ลูกค้าอยากซื้ออีกแล้ว


ผมทดลองให้นักเรียนในห้องทุกรุ่นของผม (ซึ่งในที่นี้ก็คือคนที่อยู่ Funnel 5 แล้วนั่นเอง) บอกว่า คนกดไลค์เพจผมเท่าไหร่
เฉลี่ยแล้วใน 100 คน จะมีประมาณ 1-2 คนที่ทราบ
ซึ่งหมายความว่าจริงๆแล้ว คนมาเรียนกับผม จะดูยอดไลค์ของเพจผมแค่ 1-2% ของคนที่มาเรียน เท่านั้น
เป็นการการันตีที่ดีที่สุดว่า
“ขนาดคนที่สอน Facebook อย่างผม” คุณยังไม่ดูเลยว่ายอดไลค์เพจมีเท่าไหร่ นั่นก็พอจะเป็นสมมติฐานได้ว่า
“ลูกเพจคุณส่วนใหญ่ ก็อาจจะไม่ค่อยได้ดูเหมือนกัน”


แต่แน่นอนว่า จำนวนคนกดไลค์ที่มาก อาจจะเป็น reference สำหรับคนบางกลุ่มได้ ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณจะเอาสินค้าคุณเข้าไปขายใน Watsons หรือ 7-11 หรือถ้าคุณจะขายธุรกิจให้กับนักลงทุนคนอื่นต่อหรือถ้าคุณจะต้องไปออกสื่อที่น่าเชื่อถือ ยกตัวอย่างเช่น คุณสุทธิชัย หยุ่น หรือ The Standard


ผมก็เดาเอาว่า เค้าอาจจะดูยอดคนกดไลค์อยู่บ้างก็ได้ หรือเผลอๆต่อให้เป็นสื่อเหล่านี้ ก็อาจจะไม่ได้สนใจยอดไลค์เหมือนกัน แต่สนใจ value ของคนที่มาออกสื่อจากประเด็นอื่นมากกว่า


3. ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผมจึง…
“ไม่นิยม” ยิงโฆษณาเพื่อให้คนกดไลค์เพจมาซัก 4 ปีได้แล้ว
เพราะทุกครั้งที่ผมยิงโฆษณาหากดไลค์เพจ
ผมมักจะพบว่า
เมื่อผมไป “ดูหน้าตา” ของคนที่มากดไลค์เพจ
60-70% มันจะเป็นคนที่ “ดูไม่น่าจะเป็นลูกค้า”
อย่างเช่น ขายเสื้อผ้าคนอ้วน คนมากดไลค์ก็ผอมมาเลยขายทัวร์เรือยอร์ช คนมากดไลค์… ดูแล้วพี่ไม่น่าจะนั่งเรือยอร์ชอ่ะ ><


4. อีก 2 เหตุผลที่ “ไม่นิยม” ยิงโฆษณาให้คนกดไลค์เพจเพราะ
4.1) ราคาต่อการกดไลค์ แพงขึ้นเรื่อยๆ ซัก 5 ปีก่อน ผมเคยทำได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1-2 บาท แต่ซัก 2 ปีก่อน ราคาก็เริ่มขยับมาอยู่ที่ 5-7 บาท และที่สำคัญกว่านั้นคือ…
ยิ่งเราพยายามยิงให้ “ตรงกลุ่ม” มากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่ง “แพง”และยิ่งเรายิง “กว้างๆ” มากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่ง “ถูก” ถ้าอย่างนั้น ราคาที่ถูก “จะมีประโยชน์อะไร?”
4.2) และยอด organic reach หรือคนเห็นโพสต์เราแบบไม่ต้องยิงโฆษณา ยิ่งมีแนวโน้ม “ต่ำลงเรื่อยๆ”
ถ้ามีใครบอกว่า แต่ก็ยังมีเพจที่ organic reach ดีมากๆอยู่นะ อย่างเช่น เพจที่ทำ content ได้ดีมากๆ
แต่ผมก็อยากจะบอกว่า ลองไปดูสถิติเค้าย้อนหลังซัก 2 ปีสิ่
บางเพจที่ผมเคยดู 2 ปีก่อน ได้ หลักพันแชร์ = “เสียใจ”2 ปีต่อมา content เดียวกันเลย กลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ได้ ร้อยแชร์ = “ชื้นใจ”


5. เหตุผลสุดท้าย ก็คือ
เนื่องจากลูกค้า และนักเรียนส่วนใหญ่ของผมเป็น SME และพึ่งพาออนไลน์เป็นหลัก ดังนั้น
ยอดขาย และกำไร สำคัญที่สุด
engagement, คนกดไลค์เพจ เป็นเพียงบันไดไปสู่ยอดขาย (ในบางกรณีด้วย)
ดังนั้น ผมจึงเน้นยิงโฆษณา “เพื่อขาย” ไปตั้งแต่ดอกแรกเลย โดยเน้นเข้าไปหาคนที่อยู่ใน funnel consideration, purchase intent และ brand เป็นหลัก
ดังนั้นหมายความว่า ถ้าคนจะกดไลค์เพจลูกค้าผม
ก็จะต้อง “กดเข้าไปดูหน้าเพจก่อน” และจึง “เข้าไปกดไลค์” อีกที
ซึ่งจะเห็นได้ว่า “ใช้ความพยายามกว่ามาก” ดังนั้น คนที่มากดไลค์เพจเราด้วยวิธีนี้ จะเป็นคนที่ “มีคุณภาพกว่า” การยิงโฆษณาเพื่อให้กดมากดไลค์มากๆ เพราะเมื่อเรายิงโดย “เน้นให้กดไลค์เพจ” ตัวหน้าตาของโฆษณา “ปุ่มกดไลค์” มันจะอยู่สะดวกมากๆ


ถึงตรงนี้ที่เท้าความมา เพื่อจะบอกว่า
การยิงโฆษณาหากดคนไลค์เพจ จะได้ผลดี ก็ต่อเมื่อ…
เราไม่ได้เน้นยิงโฆษณาให้คนมากดไลค์เพจ และทำให้คนกดไลค์ไม่ตรงกลุ่ม (ผมเทสต์กับลูกค้า กับสังเกตของนักเรียนมาเยอะๆ ทฤษฎีนี้ ถูกต้อง 100%)

ทีนี้ลองมาดู วิธีการปรับตัวกันบ้างว่า ผมจะทำยังไงบ้าง?


**เอาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการที่การยิงหาคนที่กดไลค์หายไป เท่านั้นนะครับ**


1. เท่าที่ผมลอง ณ คืนวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 เรายังคงทำ Lookalike คนกดไลค์เพจ เราได้
ซึ่งตรงนี้ถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะถ้าคุณยึดแนวทางตามข้อ 5 lookalike คนกดไลค์เพจ จะเป็นอะไรที่หวังผลได้ดีมาก


2. แตก Custom Audience แบบ Engaged with page เป็นหลายๆตัว ซึ่งมันน่าสนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าหลายท่านไม่เคยได้ใช้
ได้แก่


– Anyone who visited your Page อันนี้ ถ้าใช้แนวทางตามข้อ 5 ของผม อันนี้ก็แทบจะคล้ายกันเลย และดีกว่าในแง่ที่ว่า เราเลือกวันที่เอาคนย้อนหลังได้ นานสุด 365 วัน ไม่เหมือนกับคนกดไลค์ที่ ไลค์กันมา 5 ปีแล้ว เราก็ยังต้องถูกบังคับยิงหาเค้าอยู่


– People who engaged with any post or ad อันนี้ เอาไว้เล่นแทคติค เวลาที่ ad บางตัว ในบางช่วง มันได้ผลดีมากๆ เราสามารถเลือกเอาคนเฉพาะช่วงนั้นได้ โดยเลือกจำนวนวันย้อนหลังให้ดี


– People who clicked any call to action buttonอันนี้ ถือว่าทีเด็ดสำหรับคนที่เพจคึกคักอยู่แล้ว เพราะคนกด call to action ย่อมมีคุณภาพ กว่าคนกดไลค์แบบขอไปที (แม้อาจจะมีบางคนกด call to action เพราะนิ้วลั่นบ้าง)

– People who sent your message ยิงหาคนที่ inbox มาหาเรา อันนี้ต้องถือว่าเป็นอะไรที่คุณภาพคับแก้วที่สุดอันนึง เพราะคนกดไลค์โพสต์กับเพจเรา อาจจะตรง และไม่ตรงบ้าง แต่คนทัก inbox มาหาเรา ผมคิดว่า 95% มักจะตรง


– People who saved your Page or any postอันนี้ผมไม่แน่ใจว่า เพจขายของ จะดีหรือไม่ แต่เพจให้ความรู้ น่าจะมีโอกาสที่จะดี เพราะคนจะ save ความรู้เก็บไว้
แตกเสร็จแล้วก็ลองยิง และเซ็ตงบเริ่มต้นน้อยๆดู เช่นวันละ 50 บาทต่อ adset แล้วประเมินผลยาวๆ ซัก 1-2 เดือน (มันจะขึ้น potential reach เท่าไหร่ ช่างมัน อย่าไปสนใจครับ ยิงไป!)


(แต่เดือนกันยายน 62 จะเปลี่ยนเป็นตั้ง budget ที่ campaign level แล้วนะ)

http://www.pakorn.in.th/facebook-advertising/facebook-custom-audience/


3. เอา 5 ตัวข้างต้นนี้ ไปทำ Lookalike ด้วยนะ

http://www.pakorn.in.th/facebook-advertising/facebook-lookalike-%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%84%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2/


4. ถ้าเป็นสินค้าที่จริงจัง ต้องใช้ข้อมูลตัดสินใจซื้อมากหน่อย ก็ถึงเวลาใช้เวปให้มากขึ้นแล้วครับ แล้วหัดใช้ Pixel, Custom Event กับ Custom Conversion ให้คล่องซะ ถือเป็นไฟท์บังคับของคนทำออนไลน์ละครับ


เอาพวกนี้มาทำ custom audience, lookalike และ เล่น campaign objective เพื่อเป็นข้อมูลให้ AI Facebook ทำงานได้ดี

หรือลองใช้อะไรง่ายๆอย่าง % visit time spent แค่นี้ผลลัพธ์โฆษณาก็ดีขึ้นมากแล้วครับ


5. Facebook Chatbot ช่วยคุณได้ ถ้าเราใช้ Chatbot ได้คล่อง เราสามารถ ลากคนจากโฆษณา มาคุยกับ Chatbot ของเรา, segment ลูกค้าด้วยคำถาม เมื่อมีปริมาณมากพอ เราก็เอาคนกลุ่มนี้ออกมาทำ custom audience และ lookalike audience ได้อีก และเป็นการช่วยยืด Lifetime value ของลูกค้าด้วย


สามารถทดแทนคนที่กดไลค์เพจได้ และผมเชื่อว่าดีกว่าด้วย

6. Facebook Search placement มาแล้ว!! อันนี้ผมพึ่งเห็นใหม่ๆสดๆร้อนๆเลย ยังไม่เห็นโฆษณาจริงๆเลยว่าเป็นยังไง พยายามหาแล้วก็ไม่เจอครับ แนะนำอยากให้ไปลองกัน ส่วนทางผมไปลองแล้วถ้าเป็นยังไง เดี๋ยวจะมา feedback กันครับ

ลองเอา 6 แนวทางนี้ ไปปรับใช้ดูก่อน ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนัก สำหรับคนทำโฆษณา สายคุณภาพอยู่แล้วนะครับ ^^