อาจจะตอบไม่ตรงคำถามนะ แต่ว่า เก่งไม่เก่งก็ต้องทำ นาทีนี้เพราะว่า ไม่ทำก็เสียเปรียบมากคือ เก่งไม่เก่ง ก็ต้องทำอยู่ดีก็ต้องเอาให้ได้ ตอบตรงนี้ก่อนทีนี้ ไม่เก่งคอม แล้วจะทำอย่างไร ? ก็ต้องทำให้เก่งขึ้นมาหน่อยคิดว่าคนที่ไม่เก่งคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้ถ้าอยากทำโฆษณาหรือว่าทำการตลาดใน Facebook ก็เข้าใจว่า คงจะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลัก สมมติว่า ในกรณีใช้โทรศัพท์มือถือ ก่อนแล้วกันอันนี้จริง ๆ พี่ว่ามันไม่มีคนไม่เก่งหรอกมันมีแต่คนไม่เคยทำมากกว่าถามว่าไม่เก่งคอม แล้วเราเล่น Facebook เป็นไหม ? เล่น LINE เป็นไหม แบบตอบ LINE อย่างนี้เรารู้ไหมว่าต้องพิมพ์ตรงนี้ แล้วก็กด send ทำไมเรารู้ล่ะถ้าอย่างนั้น เวลาเราโพสต์ใน Facebook เราก็พิมพ์ตรงช่องที่เขาบอกนี้แล้วก็กดโพสต์ มันก็เหมือนกัน set โฆษณา แล้วก็กด plublic...
เพราะมันเป็นอย่างนั้นแหละ ก็คือ 100 จาก 300,000 กดเครื่องคิดเลขแล้วก็จะประมาณ 0.03% อันนี้คือ Organic reach rate ก็คืออัตรา ที่คนจะเห็นแบบไม่เสียเงินเวลาโพสต์ในแฟนเพจ ณ ปี 2018 นี้ ก็คือประมาณนี้เพราะมันเป็นอย่างนี้ 0.03% ก็จริง ๆ ถามว่ามันมีคนทำได้เยอะกว่านี้ไหม อันนี้พี่ว่า ก็ต่ำกว่ามาตรฐานมาก ๆ นะจริง ๆ มันควรจะสักทศนิยมหลักเดียวมันควรจะ0.3% แต่อันนี้ 0.03% คือลงไปอีกมี 300,000 ถ้า 0.3% ก็คือ ประมาณ 1,000 คนพี่เขาอาจจะดูไม่ละเอียดรึเปล่าไม่รู้นะคนที่ถามนี่ว่าของตัวเองเป็นอย่างนั้น ดูผิดหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่เอาเป็นว่า มันก็ต่ำอย่างนี้แหละ เรื่องปกติอันนี้ก็ถามว่าทำไม...
ดาวน์โหลดลิงค์ไฟล์ 1. การวางแผน LINE@ และตาราง KPI คลิกที่นี่ 2. Slide คอร์สปั้น LINE@ ให้เกิด ระเบิดยอดขาย คลิกที่นี่ ...
ทำไมคุณถึง “ไม่ควรพลาดในการใช้ LINE@” ข้อดี ข้อที่ 1. มันสามารถคุยหนึ่งต่อหนึ่งได้ อันนี้ เป็นข้อดีก็จริง แต่ว่าเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะว่า LINE@ เป็น messenger app (messenger app ก็คือ application ที่ใช้ในการพูดคุยสื่อสารกัน) คล้าย ๆ กับ “WhatsApp Blackberry MSN” ในสมัยก่อน ICQ ถ้าใครทันยุคนั้น อันนี้ก็เป็น messenger app อยู่แล้ว ดังนั้น ก็สามารถคุยแบบหนึ่งต่อหนึ่งในระบบปิดได้ ก็คือคุยกันเห็นอยู่แค่สองคน คนอื่นไม่เห็น เหมือนกับ Facebook inbox แต่อันนี้เป็นของ LINE@ นี่ก็คือข้อดีแบบพื้นฐานข้อที่หนึ่ง ข้อดี ข้อที่...
ก่อนที่ผมจะให้ guideline ให้แนวคิด ให้ตรรกะและเหตุผลว่า เราควรเลือกที่จะจ้างหรือทำเองดีกว่ากัน ผมอยากจะแชร์ก่อนว่าก่อนอื่น ไม่ว่าคุณจะทำเองหรือจ้าง สิ่งที่จะทำให้ทั้งสองอย่างมันดีขึ้นก็คือความรู้ที่คุณมี ผมเปรียบเปรยอย่างนี้ สมมติว่าวันนี้ถ้าเราเป็นคนที่ร้องเพลงเพี้ยน แล้วจู่ๆ มีเวทีประกวดร้องเพลงสักเวทีหนึ่ง ขอให้เราไปเป็นคณะกรรมการ ถามว่าเราจะเอา องค์ความรู้แบบไหน ไปตัดสินคนร้องเพลงครับ ถ้าเราเป็นคนร้องเพลงเพี้ยน ต่อให้เราเป็นคนร้องเพลงเก่ง โดยที่เราไม่รู้ว่าเราร้องเพลงเก่งขึ้นมาได้อย่างไร เราอาจจะบอกว่าอาจจะมาจากการฝึกฝน การที่เราทำบ่อย จนเกิดความเข้าใจอะไรก็ตามที ต่อให้เราเป็นคนที่เก่งอยู่แล้วก็ตามที แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเราเก่งขึ้นมาได้ อย่างไร บางครั้งเราอาจจะไม่มีหลักการหรือมีกรอบวิธีคิด และระบบในการวิเคราะห์ แล้วก็วิพากษ์ คนที่จะมาประกวดร้องเพลง ถูกต้องไหมครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า แต่ว่าจากประสบการณ์ผม ถ้าเราจะทำอะไรได้ดีขึ้น อย่างหนึ่งที่ต้องมีแน่นอน ก็คือความรู้แล้วก็ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากพอ คือ “ความรู้” ต้องบอกว่า ถ้าเราอ่านหนังสือเราฟังหลายๆ คนพูด เราก็จะเกิดความรู้...