วันนี้มาดูกระทู้ เกี่ยวกับเรื่องโฆษณา Facebook มีคนโพสต์ในพันทิปว่า

” โฆษณา Facebook แล้วขายของไม่ค่อยได้ ” 

อันนี้เป็นหัวข้อกระทู้ในกระทู้เขาบอกว่า

” ผมโฆษณาวันละ ประมาณ 100 บาท “

ก็คือ ลงโฆษณา วันละ 100 บาท

” อาจจะเป็นไปได้ที่ยอดขายไม่ปังถ้าค่าโฆษณาถูก ”

ไม่ใช่โฆษณาจ่ายถูกนะ แต่หมายถึงว่ามีงบน้อยที่ไม่ใช่ต่อ engage ถูก อะไรอย่างนี้ไม่ใช่ต่อ reach ถูกนะครับ แต่ว่ามีเงินน้อย ก็คือวันละ
100 บาท ไม่ปังเพราะอย่างนี้หรือเปล่าคนนี้มีข้อสงสัยอย่างนี้ นะครับแล้วก็บอกว่า

” แต่ผมไปเห็นอีกเพจ ไม่รู้ขายของอย่างเดียวกันหรือเปล่า”

คนกดไลค์ 200 กว่า มีคน follow เพจคือกดไลค์เพจ ได้เห็น
200 กว่า

” แต่มียอดขายดี “

ซึ่งผมก็ไม่รู้ ว่าเขาไปรู้ได้อย่างไรนะ ว่าเพจ 200 ไลค์ ยอดขายดี

” แล้วก็ขายแพงกว่าด้วย “

หมายถึงสินค้าขายเเพงกว่า แปลว่า ของน่าจะอย่างเดียวกันแล้ว

ผมเดาว่า ที่คิดว่าเขาขายดี อาจจะไปดู ว่ามีคนคอมเมนต์เยอะ ในโพสต์ หรือเปล่า ว่ามาถามราคา สนใจค่ะ เยอะหรือเปล่า  แล้วก็

” หรือผมจะแท็กโฆษณาไม่ถูกกลุ่ม (มือใหม่) ”

คำว่า “จะแท็กโฆษณา” ของเขา ก็หมายถึงว่าน่าจะหมายถึง ซื้อโฆษณานี่แหละแล้วเลือกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ถูกกลุ่มหรือเปล่าแล้วก็
บอกว่าเขามือใหม่นะ ก็อาจจะเพราะว่า ไม่ถูกกลุ่มหรือเปล่า ก็เลยไม่ได้ผลนะครับ หรือเป็นไปได้ว่า

” อีกเพจที่เขาไปดู เขาใช้เงินเยอะกว่าเรา รบกวนกูรูช่วยแนะนำหน่อย “

เขาก็ว่าอย่างนี้มาดูความคิดเห็น ที่มาตอบกัน
ก่อนนะครับ มาดูกูรู กันก่อน อันนี้เขาบอกว่า Facebook อาการหนักมากครับอันนี้โพสต์ตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2560 กันยายน พ.ศ. 2560

” Facebook อาการหนักมากครับ ผมเคยลงโฆษณาวันละ 1,000 บาท ก็เคยมาแล้ว แต่มันก็เป็นสมัยที่คนเล่นยังไม่เยอะ
เท่าวันนี้นะครับ เมื่อ 3-4 ปีก่อนเห็นจะได้ ผลคือสมเหตุสมผลครับ คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ได้มีผลเลยครับ
เสียวันละ 1,000 บาท ได้ไลค์กากๆ มาเพียบ ยอดขายไม่ต้องหวัง น้อยมาก ไม่คุ้มค่ากับเงินลงทุนเลย ปัจจุบันผมไม่ลง
โฆษณากับ Facebook ครับ เอางบไปลง Google adwords ดีกว่าเห็นๆ ทุกวันนี้เห็นเพจใหม่ๆเกิดขึ้นมา แล้วอดสงสารไม่ได้
เลยครับ กว่าจะได้แฟนสักพัน กว่าจะเปิดบิลได้ Facebook สูบไปจนหมดไม่เหลืออะไรแล้ว”

โอ้โห ! เป็นการทิ้งท้ายที่สุดยอดมาก ดูที่เหลืออีก

“เสียเงินโฆษณาเยอะกว่า ยอดไลค์ต้องเยอะกว่าสิ ดังนั้น ไม่เกี่ยวครับ มันอยู่ที่การตั้งกลุ่มเป้าหมายครับ! “

อันนี้ตอบงง ๆ นะ แล้วก็มีคนมาคอมเมนต์ ต่อจากอันแรก เมื่อกี้นะครับว่า

” Google Adwords ทำยากไหมครับ แล้วเสียค่าโฆษณาเยอะไหมครับ? “

เขาก็บอกว่า

” Google Adwords ไม่ยากเลยครับ สมัครด้วย Gmail เปิดคู่มืออ่าน และทำความเข้าใจ หรืออาจจะลองหาหนังสือมา
ศึกษาดูก็ได้  ค่าโฆษณาเยอะไหมแล้วแต่คุณจะกำหนด Keyword แต่ก็มีวิธีเลือกแบบไดนามิกครับ ให้ Google จับ
คำหลักในหน้าเว็บของเราก็ได้ ได้ผลดีไม่แพ้กับการกำหนด Keyword เองครับ”

อันนี้ผมยังไม่ข้าม ไปเรื่อง Google แล้วกันนะ เดี๋ยวประเด็น มันจะแตกปลายมากเกินไป เอาเรื่อง Facebook เป็นหลักก่อน นะครับ

ความเห็นที่ 3 นะครับ มาแล้ว คิดเหมือนผมเลย

1. คือ คุณรู้ได้ยังไงคะ ว่ายอดขายเขาดี ? ตั้งแต่เราเปิดเพจมาเสียค่าโฆษณา 1,000 บาท เพื่อให้ได้ยอดคนมาไลค์ 1,000 คน
เรามีลูกจ้างคนเเรกจากการเสียเงินครั้งนี้ หลังจากนั้นไม่เคยโปรโมทอีกเลย มีลูกค้ามาตลอดเรื่อยๆ แต่ช่วงนี้ Facebook
บีบเรามาจากการที่โพสอะไรไป คนเห็นเกือบ 1,000 คน ตอนนั้นแฟนเพจ 1,000 นิดๆ 

แต่ก่อนคนตาม 1,000 คน โพสต์อะไรไป คนเห็นเกือบ 1,000 เดี๋ยวนี้คนตาม 2,000 คน โพสต์อะไรไป คนเห็น 100-300 คน ก็คือตกลง
ไปเยอะ นะครับ

” แต่ยังดีที่มีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ยังคิดว่าคงจะจ่ายให้ Facebook อีกสัก พัก ตอนแทนเขาหน่อย 555 แต่เราขายทางอื่นด้วย
ไม่งั้นต้องมาเสียเงินโปรโมทเยอะแน่ๆ “

คือ เดี๋ยวผมค่อย ๆ ย่อยอันนี้นะครับ มันมีหลายประเด็นมาก ประเด็นแรก ก็คือ แต่ก่อนเขาเสียค่าโฆษณา 1,000 บาท นะครับ จนได้คนมา
กดไลค์ 1,000 คน แปลว่า คนหนึ่งตกหนึ่งบาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อน มีจริง ๆ นะครับ ไลค์ละ 1 บาท ผมว่าต้องสัก
3-5 ปีก่อนเป็นอย่างน้อย

ทีนี้ คนติดตาม 1,000 คน สมัยก่อน เวลาเราโพสต์อะไรไป โดยไม่จ่ายเงินเลยนะครับ คนติดตาม 1,000 คน อาจจะเห็นโพสต์เรา สัก 10%
ก็คือ 100 คน ก็เยอะแล้วนะ แต่ถ้านานไปกว่านั้น 5 ปีที่แล้ว อาจจะ 30% 20%  แต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน 10% ก็เยอะแล้ว อันนี้เขาพูดเหมือน
100% เลย ซึ่งผมว่าไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอก ยกเว้นแต่ว่าลูกเพจเราเห็นโพสต์เรา แล้วเขาก็แชร์ ถูกไหม พอเขาแชร์ตอนแรกเขาเห็น
คนเดียวนะครับ พอเขาแชร์เขามีเพื่อนอีก เป็น 500 เป็น 1,000 คน

แสดงว่า ถ้าเขาเห็นแล้วเขาไม่แชร์ เราได้ 1 แต้ม ก็คือได้คนเห็น 1 คน แต่ถ้าเขาเห็นแล้วเขาแชร์ เราอาจจะได้ 500 แต้มนะครับ ก็คือ
บวกไปอีก 500 ดังนั้น แปลว่า จริง ๆเขาอาจจะทำคอนเทนต์ดีก็ได้ ถึงได้ rate คนเห็น โดยที่ไม่เสียเงินโฆษณา เยอะขนาดนี้ เพราะ
ว่า เขาบอกอีกว่ามีคนมาซื้อซ้ำอีก โดยที่เขาไม่ได้ซื้อโฆษณาเพิ่มนะครับ แปลว่า คอนเทนต์หรือสินค้าของเขา ต้องมีอะไรบางอย่าง
น่าสนใจ แล้วคนก็ต้องยังแชร์ต่อไป ๆ มันถึงมีคนใหม่เข้ามา ๆ แล้วก็คนเก่าก็ยังซื้อต่อด้วย อันนี้ก็เป็น สมมติฐานของผมนะครับ แล้ว
เขาก็บอกว่า เดี๋ยวนี้คนเห็นน้อยลงก็คือ เขาบอกว่าคนกดไลค์แฟนเพจ ประมาณ 2,000 คน โพสต์อะไรไปคนเห็น 100 คน ก็ประมาณ 5%
คนกดไลค์เพจ 2,000 คน เห็น 100 คนเท่ากับ 5% ก็ยังถือว่าเยอะ ถ้าเกิดว่านาทีนี้หรือปีที่แล้ว ปี 2560 ที่เขาโพสต์ ถ้าเป็นเพจทั่วไป
Organic reach rate อยู่ที่ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ รู้ไหมครับ Organic reach rate 0.5% ซึ่งเป็นสถิติที่พี่มาร์ค เขาประกาศ ก็คือ
0.5% เฉลี่ยทั่วไป คนติดตามเพจเรา 1,000 คน โพสต์อะไรไป คนจะเห็น 5 คนนะครับ 0.5% ถ้ามี 2,000 คน ติดตามเพจเรา โพสต์อะไร
ไปคนเห็น 10 คน แต่อันนี้เขาบอก มี 2,000 คน โพสต์อะไรไปคนเห็น 100-300

ซึ่งแสดงว่า นี่เห็นหลักฐานว่าเขา ทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยเยอะมาก ๆ แปลว่าอย่างที่ผมว่า สมมติฐานนี้ ก็คือคอนเทนต์เขาดี หรือว่าของเขา
น่าสนใจมาก ๆนะครับ หรือกลุ่มเป้าหมายเขาจะเป็น ประเภท engage ง่าย สมมติว่าเป็นเด็ก ๆ อะไรอย่างนี้ ก็จะ engage ง่ายกว่าผู้ใหญ่
นะครับโดยเฉลี่ย เขาก็เลยบอกว่า ได้ลูกค้าเข้ามาเรื่อย ๆ ก็อยากจะตอบแทน จ่ายค่าโฆษณา Facebook อีกหน่อย ผมก็บอกว่า จริง ๆ
ถ้าเขาไม่จ่ายเงินแล้วได้ผลดี จริง ๆ ถ้าเขาจ่ายเงิน อย่างถูกวิธีเขาจะได้ผลดีกว่านี้ อันนี้ผมก็ขยายความคนที่มาตอบนะครับ แล้วก็
อีกคนก็บอกว่า

” อยู่ที่ว่าขายอะไรด้วยครับ กลุ่มลูกค้าอยู่ใน Facebook เยอะหรือเปล่า ลองวิเคราะห์ดีๆครับ โพสต์และรูปภาพที่ลงน่าสนใจพอ
ที่ลูกค้าจะสั่งซื้อหรือเปล่า เลือกกลุ่มเป้าหมายตรงกับสินค้าหรือเปล่าครับ ลองเช็คเรื่องพวกนี้ก่อน ถ้าโพสต์โดนๆ
กลุ่มเป้าหมายตรงๆ ไม่ต้องลงโฆษณาแพงๆก็ขายได้ครับ ต้องลองผิดลองถูกแล้วค่อยๆปรับไปครับ ” 

ก็ค่อนข้างมีเหตุมีผลเยอะเลยนะครับ ก็คือ มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่จะทำให้โฆษณา Facebook เรา success อย่างแรกเขาก็
บอกว่าอย่าเพิ่ง ไอ้นี่ไปลองวิเคราะห์ดี ๆ ก่อน ซึ่งเจ้าของเขาก็พยายามจะวิเคราะห์ เขาก็เลยมาโพสต์ถามนะครับ แต่เขาอาจจะมีมุมมอง
น้อยเกินไปในการวิเคราะห์ เราไม่มีมุมมองมากพอ เรามาวิเคราะห์ เราก็คิดอะไรได้ไม่เยอะ ก็เลยมาขอความเห็น นะครับ คนนี้เขาก็เลย
ให้ความเห็นเพิ่มว่า เป็นที่คอนเทนต์หรือเปล่า โพสต์หน้าสนใจพอหรือเปล่า ต่อให้โพสต์หน้าสนใจ แล้วคุณยิงไม่ตรงกลุ่ม มันก็ไม่ได้นะ

สมมตินะครับ สมมติคุณขายผ้าอนามัย แล้วคุณไปยิงใส่ผู้ชายอย่างนี้ คือมันก็ไม่ได้แล้ว ถูกไหมครับ หรือคุณขายของอะไร ที่มันผู้ชาย ๆ
สมมติขายเครื่องมือช่างอะไรอย่างนี้ หรือว่า คุณไปยิงผิดอาชีพ หรือไปยิงผู้หญิงที่ไม่ได้ใช้แน่นอน มันก็ไม่ได้เหมือนกัน

ดังนั้นตรงนี้มันก็เกี่ยวด้วยก็คือ อยู่ที่กลุ่มเป้าหมาย กับคอนเทนต์ด้วย แล้วก็มีอีกหลาย ๆ เรื่องนะครับ แต่เบื้องต้นก็คือ ต้องวิเคราะห์ดี ๆ
ก่อน เดี๋ยวผมลองตอบ แล้วก็วิเคราะห์ คำตอบแรกก่อน ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ที่ผมข้ามไป เขาบอกว่า

” Facebook อาการหนักมากครับ ผมเคยลงโฆษณาวันละ 1,000 บาท ก็เคยมาแล้ว แต่มันก็เป็นสมัยที่คนเล่นยังไม่
เยอะเท่าวันนี้นะครับ เมื่อ 3-4 ปีก่อนเห็นจะได้ ผลคือสมเหตุสมผลครับ คุ้มค่ากับการลงทุน “

ก็หมายความว่าเขาคิดว่า เคยลงโฆษณต่อวัน ค่อนข้างเยอะ ก็คือวันละ 1,000 บาท เดือนหนึ่งก็ 30,000 ได้เลย แล้วก็แต่ก่อน
ตลาดก็ยังไม่ใหญ่เท่านี้นะ คนยังไม่ติด  Facebook กันเท่านี้ ก็ยังเป็นผลดี คุ้มค่าการลงทุนนะครับ ผมบอกได้เลยว่า ถ้าสัก 3 ปีก่อน
ก็คือเขาเรียกว่ายุคลิงยิงก็รวย ก็คือ ซี้ซั้วยิงโฆษณาไป โอกาสขายได้ สูงมาก เพราะการแข่งขันมันต่ำมาก ทุกวันนี้ก็ยากขึ้น ก็ตรงกับที่
เขาบอกคือ

” 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่ได้มีผลเลยครับ เสียวันละ 1,000 บาท ได้ไลค์กากๆ มาเพียบ ยอดขายไม่ต้องหวัง น้อยมาก”

อันนี้จากประสบการณ์ของผมคือ โดยมากปัญหามักจะเกิดจากการ เลือกกลุ่มเป้าหมายผิด เลือกกลุ่มเป้าหมายผิด ผมจะอธิบายอย่าง
นี้ครับว่า สมมตินะ คุณขายของแพงมาก สมมติคุณขายตั๋วเครื่องบิน first class ผมยกตัวอย่างให้สุดโต่งนะ คุณขายตั๋วเครื่องบิน
first class เสร็จแล้ว คุณยิงโฆษณา แต่ก่อนคุณก็เลือกกลุ่มเป้าหมาย สมมติว่าคุณเลือกไม่เป็น คุณก็เลือก ๆ ไป สมมติแต่ก่อน
คุณจ่ายค่าโฆษณา 30,000 บาท คุณได้คนเห็น 1,000,000 คน สมมติว่าจ่าย 30,000 ได้ 1,000,000 คนคุณก็เซ็ตโฆษณาไม่ค่อยเป็น
หรอกเซ็ต ๆ ไป แต่ว่า จ่าย 30,000 บาท คนเห็นเยอะมาก 1,000,000 คน เพราะมันถูกและคู่แข่งก็น้อย ทุกวันนี้คุณจ่าย 30,000 บาท
เท่าเดิม การแข่งขันมันมากขึ้น ค่าโฆษณามันแพงขึ้น จากคนเห็น 1,000,000 คน ทุกวันนี้ อาจจะเหลือ 50,000 คน เหลือ 100,000 คน
แล้วกันจาก 1,000,000 เหลือ 100,000 คน หายไปกี่คนครับ 900,000 คน ทีนี้ก่อนหน้านี้คุณเซ็ตโฆษณาไม่เป็น สมมติว่าใน
1,000,000 คน มันมีที่เป็นกลุ่มเป้าหมายคุณ ก็คือรวยพอที่จะซื้อตั๋วเครื่องบิน first class อยู่ 30,000 คน ใน 1,000,000 คน เวลาคุณ
ยิงโฆษณาแบบไม่ตรงไป เนื่องจากเงินที่จ่ายไป มันไปถึงคนเยอะมาก มันก็เลยบังเอิญ ไปหาคนที่ มีกำลังซื้อตั๋วเครื่องบิน first class
คุณด้วยเช่นกัน จ่ายไป 30,000 บาท มันไป 1,000,000 คน 30,000 คน หลบอยู่ตรงนี้ที่มีกำลังซื้อสูง มันก็ไปโดนเขาเหมือนกัน
แต่ทุกวันนี้จาก 1,000,000 คน เหลือ 100,000 คนนะครับ เหลือเท่านี้ ตรงนี้ คนที่มีกำลังซื้อจาก 30,000 คน อาจจะหลบอยู่ในนี้ ตอนนี้
เหลือแค่ 30 คน เพราะว่าคุณยิงโฆษณาไม่เป็น มันเลยเป็นแบบนั้น

ส่วนที่เหลือคือใคร ที่เหลือ 99,970 คน 100,000 ลบด้วย 30 ที่ไม่มีกำลังซื้อสมมติว่าเป็นคน รากหญ้า ไม่มีกำลังซื้อ ตั๋วเครื่องบิน
first class เขาก็จะซื้อไม่ได้ ถูกต้องไหมครับ แต่ว่าเขาเห็นโฆษณาคุณ จากการที่คุณ เสียเงินโฆษณาไป ดังนั้น คุณจ่าย 30,000 บาท
เท่าเดิม จากเดิมคุณเคยได้ 30,000 คนมาซื้อของ ตอนนี้คุณเหลือ 30 คนแล้ว โฆษณาที่เคยกำไร ก็เลยกลายเป็นขาดทุน

ดังนั้นถามว่า วิธีแก้คืออะไร วิธีแก้ก็คือ คุณต้องไปเซ็ตโฆษณา แทนที่จะเซ็ต 100,000 คนนี้ คุณต้องเซ็ตไปหา 30,000 คน ที่เป็นคนที่มี
กำลังซื้อ ให้ 100% ให้มากที่สุด พูดง่าย ๆ ว่า 30,000 บาทนี้ ทุกบาททุกสตางค์ ที่คุณจ่ายไปในแต่ละวัน คุณต้องยิงให้ตรงที่สุด ไปหาคน
ที่มีกำลังซื้อเท่านั้น แล้วคุณต้องคอยมอนิเตอร์ ว่าคนที่มากดไลค์เพจคุณ หรือโพสต์นั้น ๆ หน้าตามีกำลังซื้อจริงหรือเปล่า คุณต้องไปเช็คดู
แบบนี้เลยนะครับ

ถ้าเกิดว่ารันโฆษณา ไปวันสองวันแล้ว ถ้าเกินครึ่งเป็นคนชื่อแบบเกรียน ๆ ชื่อแบบว่า “เธอไม่รักเราแล้ว” อะไรอย่างนี้ หรือว่า ชื่อแบบ
“พ่อ-ูทุกสถาบัน” อะไรอย่างนี้ คุณก็ต้องรู้แล้ว อย่างนี้ผิดกลุ่มแล้ว ถ้าเป็นส่วนใหญ่นะ ถ้าเกิดส่วนน้อย ปะปนมาบ้าง อันนี้อย่าซีเรียส
แต่ว่าถ้าเกิดว่าส่วนใหญ่ คุณเข้าไปดู หน้าตาแต่ละคนนี่ ผู้บริหาร คนรวยทั้งนั้น รูปโปรไฟล์ นี่ถ่ายคู่กับรถสปอร์ต รถเบนซ์ อย่างนี้ผม
บอกว่า ตรงกลุ่มแล้ว คุณจะเริ่มเห็นผลที่ดีขึ้น ถ้าคุณยิงตรงกลุ่ม อันนี้ก็คือคำอธิบายนะว่าควรจะทำอย่างไร และเขาก็บอกว่า ก็เลยย้าย
ไปลงโฆษณาใน Google นะครับ ซึ่งอันนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร ก็ดี เป็นการหาทางออก แต่จริง ๆ แล้วเราก็ต้องพยายาม เอาชนะ Facebook
ให้ได้ด้วย ในความเห็นของผมนะครับ

ก็ต้องมาขยายตลาด ตรงนี้ด้วย เพราะว่าเดี๋ยววันดีคืนดี Google การแข่งขันมากขึ้น เดี๋ยวก็จะเข้าอีหรอบเดิมเหมือนกัน ถ้าคุณเลือก
keyword อะไรตรงนั้น ไม่เป็น ก็จะ scenario เดียวกับเมื่อกี้ ที่ผมเล่าเลยดังนั้น ควรจะเข้าใจทั้ง Facebook ทั้ง Google แล้วก็
พยายาม เอาชนะทั้งสองตลาดให้ได้ อันนี้คือตอบคำถามนะครับ

แล้วเรื่องที่ว่า “อดสงสารไม่ได้เลย โดน Facebook สูบไป “ อันนี้ถ้าถามผมนะ ก็คือ คุณไปจ่ายเงินโฆษณากับเขาเอง เขาไม่ได้
มาบีบคอคุณสักหน่อย เขาอาจจะมีเชียร์บ้าง นิดหน่อย ก็ต้องบอกว่า ไปว่าเขาอย่างเดียว มันก็ไม่ถูกต้องนะ ก็คือ เขาให้คุณใช้ฟรี
คุณใช้อยู่ทุกวี่ทุกวัน คุณไปบ่นเขาอยู่ได้ เขาไม่เคยบังคับ ให้คุณไปซื้อโฆษณา หรือว่าเปิดเพจเลย  แล้วเสียเงิน แล้วไปบ่นเขา
แต่ตอนขายได้ก็ชม ตอนขายไม่ได้ก็บ่น แต่ถามว่า มันมีคนที่ขายได้อยู่บน Facebook อีกมหาศาล รวยเป็นเศรษฐีใหม่ เยอะแยะไปหมด
บน Facebook

ดังนั้นก็อย่าเอาแต่บ่นครับ พยายามหาวิธีแก้ปัญหา ตอบเจ้าของกระทู้อีกทีหนึ่งนะครับ สรุปแล้ว เขาบอกว่า เพราะเขาเป็นมือใหม่
แท็กโฆษณาไม่ถูก กลุ่มหรือเปล่า ก็คือยิงไม่ตรงกลุ่มหรือเปล่า อันนี้ผมก็อธิบายไปเยอะแล้ว คำตอบก็คือ อาจจะใช่นะครับ แต่มีอีก
ประเด็นหนึ่ง ที่ผมอยากจะขยายความ ก็คือ คนนี้เขาบอกว่าซึ่งผมก็สันนิษฐานว่า เขาคงไปนั่งอ่านคอมเมนต์มั้ง แล้วมีคนถามเยอะ
ของคู่แข่ง ตรงนี้ผมจะบอกให้ฟังว่า คนกดไลค์กี่คน ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวเลย ๆ ผมมีคลิปรณรงค์เลิกดูคนกดไลค์นะครับ ไปดูคลิปนั้นได้
ในคลิปผมบอกว่า เพจผม ผมเป็นคนสอนการตลาด บน Facebook / Google ผมเป็นเหมือน กูรู อะไรอย่างนี้ คือสร้างภาพตัวเองเป็นผู้รู้
แต่ว่า ผมเปิดคอร์สให้คนมาเรียน คอร์สหนึ่งราคา สองหมื่นกว่าบาท ก็ถือว่าราคาสูง แต่คนกดไลค์เพจผม รุ่นแรก ๆ คนกดไลค์เท่าไร รู้ไหมครับ ?

ก็คือประมาณ 400 คนคนกดไลค์ 400 กว่าคน ซึ่งคู่แข่งผม ที่คอร์สถูกกว่า ราคาหลักพัน แต่คนกดไลค์เพจหลักแสนแต่เพจผม คนกดไลค์
400 เผลอ ๆ น้อยกว่าคนที่จะมาเรียนกับผมอีก คนที่มาเรียนกับผม บางคน มีคนกดไลค์ 100,000-200,000 นะครับ บางคนเป็นล้าน ก็มีนะ
เยอะกว่าผมมาก แต่ถามว่า เขาสนใจไหมว่า คุณมีคนกดไลค์ 400 สอนผมไม่ได้หรอก บางคนอาจจะสนใจ แล้วก็ไม่มา ผมก็ไม่รู้ไง แต่ว่า
คอร์สผมก็เต็มเพราะว่าอะไร ?

ผมก็ให้แง่คิดตรงนี้ว่า บางคนมองว่า คนกดไลค์เยอะ เป็นความน่าเชื่อถือ ผมก็ไม่เถียง มีผลส่วนหนึ่ง นะครับ แต่ถ้าผมถามคุณว่า เพจ
หรือว่าของล่าสุด ที่คุณไปซื้อ คนกดไลค์เพจเขาเท่าไร ถามว่าคุณจำได้ไหม บางคนไม่ได้ดูด้วยซ้ำ แต่ก็ซื้อของเขาไปแล้ว
ดังนั้น มันไม่ใช่องค์ประกอบเดียว ที่ทำให้คนเชื่อนะครับมันมีวิธีอื่นเยอะแยะ ที่จะทำให้คนเชื่อ ว่าคุณน่าเชื่อถือ อย่างผมเป็นคนสอนใช่ไหม
ผมก็ให้ความรู้ อธิบาย ให้เหตุให้ผล เขาก็ดูว่า สิ่งที่ผมอธิบาย มีเหตุมีผล ฟังแล้วก็ make sense แล้วก็เป็นประวัติการทำงาน อะไรอย่างนี้
ฟังแล้ว make sense ที่จะมาลงเรียน ไม่จำเป็นต้องดูคนกดไลค์อย่างเดียว

ดังนั้นประเด็นนี้ ผมจะบอกว่า คนกดไลค์ 200 ไม่ต้องไปดูหรอก ไม่มีผลคนกดไลค์ 20 ขายดี ก็มีลูกศิษย์ผมบางท่าน มาเรียน เปิดเพจใหม่
เลยคนกดไลค์ 20 คน ก็คือญาติโก โหติกา ชวนกันมากดไลค์ก็ขายได้เพราะว่า ถ้าโพสต์คอนเทนต์เราดีพอคนเขาดูแต่โพสต์นั้น
แล้วถ้ามันน่าเชื่อถือพอ มันตอบคำถามมากพอ เขา add ไปคุย LINE add ไปคุย Facebook inbox กับคุณ โทรไปคุยกับคุณ คุณ
อธิบายให้ดี ตอบคำถามได้แล้ว ของนั้นเขาต้องการใช้ เขาก็ซื้อนะครับ เขาไม่มาย้อนดูมากมายหรอก ว่าคนกดไลค์ 20 ก็อย่างที่ว่า
ถ้าคอนเทนต์คุณ น่าเชื่อถือพอ วิธีการพูดวิธีการพรีเซนต์คุณ น่าเชื่อถือพอ แล้วก็สินค้าคุณน่าเชื่อถือ และเป็นที่ต้องการ และคุณพรีเซนต์
ประโยชน์ได้ หลาย ๆ ครั้งเขาก็มองข้ามได้ และเดี๋ยวนี้ยังมีเก็บเงินปลายทางอีก เรื่องเก็บเงินปลายทาง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ลูกค้า
ตัดสินใจง่ายขึ้น ก็ประมาณนี้นะครับ

สำหรับคลิปนี้ หวังว่าจะได้ประโยชน์นะครับ สำหรับในกรณีที่ โฆษณา Facebook แล้วขายของไม่ค่อยได้ถ้าชอบช่วยกดไลค์ กดแชร์
กดคอมเมนต์และอย่าลืมกดติดตาม Fanpage / Youtube channel / Blog และ LINE@ ของผมด้วยนะครับ ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยน
ตรงไหน ถูกผิดประการใด ก็แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปตอบ

ถ้ามีกระทู้ไหน อยากให้เข้าไปช่วยตอบก็โพสต์ หรือว่าแนะนำกันได้นะครับเดี๋ยวผมจะดูให้นะครับ

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ สวัสดีครับ^^