” พี่เบิร์ดคะ Google Analytics คืออะไรคะ ? “

Google Analytics ก็คือ เครื่องมือฟรีของ Google ที่เราเอาไปติดที่เว็บไซต์ เพื่อที่จะดูข้อมูลสถิติทั้งในเชิงคุณภาพ และในเชิงปริมาณ อย่างเช่น คนเข้าเว็บไซต์เรา จำนวนเท่าไร คนเข้ามาจากไหนเยอะที่สุด ในอัตราส่วนเท่าไร คนแบบไหนเข้ามาในเว็บไซต์เราบ้าง ทั้งในเชิงประชากรศาสตร์ อย่างเช่น เพศ อายุหรือว่าความสนใจต่าง ๆ ทั้งในเชิง Geographic ก็คือ คนมาจากประเทศไหน จังหวัดไหน ในปริมาณและสัดส่วนเท่าไร อันนี้ในเชิงคุณภาพ คร่าว ๆ นะครับ

แล้วก็มาจาก อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตดูได้แม้กระทั่งว่า มาจากอินเตอร์เน็ต จาก AIS/True หรือ Dtac แล้วก็ดูได้ว่ามาจาก Google Chrome/Firefox/Safari พวกนี้ คือเรียกได้ว่า มันดูได้เยอะ จนเราดูไม่หมด อันนี้คือในเชิงปริมาณ ส่วนในเชิงคุณภาพก็คือเขาเข้ามาอยู่บนเว็บไซต์เรา แล้วเขาใช้เวลาอยู่นานเท่าไร เขามาแป๊บเดียว หรืออยู่นาน เขาเปิดหน้าเดียว แล้วออกตลอด หรือเปิดหลายหน้า เข้ามาแล้วเขาสัมฤทธิ์ผล เป็น goal อะไรที่เราต้องการบ้าง อย่างเช่น เข้ามาแล้ว Add LINE@ เข้ามาแล้วสมัครสมาชิก เข้ามาแล้วกรอกแบบฟอร์ม ที่เรากำหนดให้เขากรอก เข้ามาแล้วซื้อของ อะไรอย่างนี้ พวกนี้ทั้งหมด สามารถที่จะรู้ได้ด้วย Google Analytics ก็จริง ๆ แล้วมีอะไรอีกเยอะนะครับ ที่มันสามารถดูได้และมันสามารถอธิบายให้คนที่ทำการตลาดออนไลน์รู้ได้ว่า อะไรที่มันสำเร็จ อะไรที่มันไม่สำเร็จ มากน้อยขนาดไหน แล้วเราจะได้หาสิ่งนั้น เพื่อที่เราจะขยายผลถ้ามันดี หรือว่าแก้ปัญหา ถ้ามันไม่ดี ประมาณนี้ คร่าว ๆ

มันสำคัญอย่างไร ? “

มันสำคัญอย่างไรใช่ไหม มันสำคัญอย่างไร ? ก็คือทุกคน ที่ทำการตลาดออนไลน์ ก็จะอยากให้ การตลาดออนไลน์ของตัวเอง ดีขึ้นเรื่อย ๆถ้าบางคนที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็อยากจะทำ แล้วให้มันประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะอยากให้มัน ประสบความสำเร็จมากขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จมากแล้ว ก็อยากจะให้มันประสบความสำเร็จ มากขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ทั้งในแง่ว่า เราลงทุนไป แล้วไม่คุ้มค่าเราอยากลงทุน แล้วให้มันคุ้มค่า มากขึ้น ๆ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี อะไรอย่างนี้ ถ้าเราจะทำแบบนั้นได้ เราก็ต้องรู้ว่า การลงทุนในช่องทางการตลาด ช่องทางไหน หรือว่าคนกลุ่มไหน segment ไหนที่เราทำไป แล้วเขาเข้ามาสู่ในเว็บไซต์เรามันได้ ไม่ดีเลย พอใช้ได้ ปานกลาง ดี ดีมาก ดีสุด ๆ อะไรอย่างนี้ คือมันจะทำให้เรารู้ว่า อะไรได้ผลและไม่ได้ผล ดังนั้นอันที่ไม่ได้ผล เราก็จะทำให้มันกลายเป็นได้ผลได้ เพราะว่าเรารู้ข้อมูล สถิติ อันที่มันได้ผลอยู่แล้ว เราก็จะทำให้มันเพิ่ม หรือว่าขยายผลจากจุดตรงนั้น ที่เราเห็นว่ามันได้ผล ยกตัวอย่างเช่น เราลงโฆษณาใน Google กับ Facebook แล้วใน Google เราเห็นว่า โดยรวมมันไม่ได้ผล แต่ว่า ถ้าเราดูแค่นี้เราจะแก้ปัญหาไม่ได้หรอก ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ว่า สมมติว่า ในทีม Google มันแบ่งเป็นทีมย่อยอีก 5 ทีมและใน 5 ทีมนั้นมีคนอีก ทีมละ 10 คนในที่นี้ก็คือ แคมเปญโฆษณา Google แบบต่าง ๆ คนนี่ก็คือพวก Keyword หน้าเว็บไซต์ placement ที่เราจะไปลง พวก Interest ความสนใจต่าง ๆ อายุ เพศ อะไรพวกนี้

พวกนี้เป็นเหมือน ทหารที่ออกไปหาลูกค้าให้เรา ซึ่งเราก็ต้องประเมินว่า เวลาทั้งทีมมันไม่ดี มันอาจจะไม่ดี มาจากบางคนในทีมก็ได้ ดังนั้น Google Analytics จะทำให้เราได้รู้ว่า คนไหนในทีม หรือว่าทีมไหนไม่ดี และเราก็จะไปแก้ปัญหาได้ โดยเราก็จะไปดู องค์ประกอบอื่น ๆ ว่า จริง ๆ Keyword นั้นมันอาจจะไม่ใช่ตัวปัญหาก็ได้แต่เราอาจจะไปพบว่า เมื่อ Keyword คนที่เสิร์ชคำนั้นเข้ามา และคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ แล้วไปเจอหน้าเว็บไซต์หนึ่งกลายเป็นว่าหน้าเว็บไซต์นั้น อาจจะเป็นปัญหาก็ได้ดังนั้น ถ้าเราดูข้อมูล ตัวเลข สถิติเราก็จะได้ fact ได้ความจริงแต่ถ้าเรานั่งมโนเอา นั่งคิดเอาเองเราก็จะได้เรื่อง มโน ๆ แล้วเรื่องมโนนั้นเราแก้ไป มันก็จะเป็นการแก้แบบมโนเวลาเราวัดผลอีกครั้งเราก็ไม่สามารถที่จะวัด ด้วย fact ด้วยข้อมูลได้เราตั้งโจทย์เป็นมโนตั้งแต่แรกแล้ว เราก็จะไปมโนอีกซึ่งสุดท้าย ปัญหามันก็จะไม่ได้ถูกแก้หรือว่าถูกแก้ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยนะว่ามันแก้ไปแล้ว คือมันถึงมีคำพูดคำหนึ่งจากหนังเรื่อง Pacific Rim เขาบอกว่า มันมีด็อกเตอร์ในหนัง เขาพูดว่า

” ตัวเลขไม่เคยโกหก การเมือง บทกวี คำสัญญา ล้วนโกหก “

คือตัวเลขใน Analytics ถ้ามันบอกว่าคนมาจาก Google เทิร์นเป็นยอดขายให้เราเมื่อวานนี้ 5 คน หรือว่า 5 ครั้งมันก็คือ 5 คนหรือ 5 ครั้ง มันไม่ใช่ 6 มันไม่ใช่ 4 แต่ว่า ถ้าเราไม่ใช้ตัวเลขเราใช้ภาษาพูด ก็คือเราจะบอกว่าพอใช้ได้ 5 คนดีพอใช้ได้ ซึ่งการคุยกันโดยที่ ไม่มีตัวเลขข้อมูล สถิติแล้วคำถามคือ พออีกวันหนึ่งได้ 7 เราจะบอกว่าอะไรเราจะบอกว่า ดีพอใช้ได้กว่าเดิม อีกหน่อยนึงพออีกวันหนึ่ง ได้ 9 เราจะบอก ดีมากขึ้นอีกแล้วอีกวันหน่ึ่ง พอได้ 19 เราจะบอกว่าอะไรอีกวันหนึ่งกลับมาได้ 7 อีกที เราจะบอกว่าอะไร

ดังนั้น จริง ๆ แล้วถ้ามันเป็นตัวเลขทุกอย่างมันจะชัดเจน และมันจะวัดผลได้คืออันนี้ โดยส่วนตัวพี่จบ base เป็นวิศวะ คือวิศวะ เรามาทำการตลาดออนไลน์ก็จริงแต่เรายังมีระบบความคิด แบบวิศวะก็คือ วิศวะเราจะไม่คุยกันว่าโอเค รถที่เราสร้างขึ้นมา เราคิดว่าล้อมันไม่น่าจะหลุดแล้วแหละ มาเราขายได้เลย ไฟ power supply ที่เราผลิตขึ้นมามันไม่น่าจะระเบิดแล้วแหละ แล้วมันก็ไม่น่าจะไฟดูดคนแล้วแหละ เราวางขายได้เลย อะไรอย่างนี้ เราจะไม่คุยกันแบบนั้นเรารู้สึกว่า รถเราน่าจะวิ่งได้แล้วแหละเราจะไม่คุยกันแบบนั้นเพราะว่า “น่าจะ” มันไม่แน่นอนไงแต่เราจะคุยกันว่า error กี่เปอร์เซ็นต์

สมมติเราเทสแล้วว่าอัตราการ error 0.00001% อะไรอย่างนี้ สมมตินะก็คืออาจจะ หนึ่งในล้านอันนี้คือตัวเลขที่รับได้ หนึ่งในล้าน แต่สมมติบอก หนึ่งในล้าน ยังรับไม่ได้อีกก็ต้อง หนึ่งในร้อยล้าน อะไรอย่างนี้ อัตราการ error เราก็จะเทสเพื่อให้มันได้อัตราการ error หนึ่งในร้อยล้าน หลาย ๆ ครั้ง

ประเด็นคือ ที่เล่ามายาว ๆ ก็คือว่าทุกอย่าง พอเราวัดออกมาเป็นตัวเลขผ่าน Google Analytics เราก็จะเอาตัวเลข หรือข้อมูลนั้น ไปตีความ ได้แม่นกว่าการที่เราไม่มีตัวเลข ไปตีความ ได้แม่นกว่าการที่เราไม่มีตัวเลข แล้วเราก็พยายามตีความ จากอะไรลอย ๆ แล้วเราก็พยายามตีความ จากอะไรลอย ๆที่เรารู้สึก อะไรอย่างนี้เสร็จแล้วเราก็จะได้ แนวทางแก้ปัญหาแล้วพอเราแก้ เราก็จะไปวัดอีกรอบ ด้วยตัวเลขว่าปัญหามันได้ถูกแก้และมันดีขึ้นแล้ว เท่าไร กี่เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่แบบว่า ดีขึ้นแล้วเย่ ! หน่อยนึง อะไรอย่างนี้ มันต้องเป็นแบบ ดีขึ้นแล้ว กี่เปอร์เซ็นต์และเปอร์เซ็นต์เท่านี้ นำไปสู่อะไร

สมมติว่าโจทย์เราคือเราอยากทำให้คน อยู่บนเว็บไซต์เรานานขึ้นเฉลี่ยแล้ว อีกสัก 50% สมมติเดิมที เขาอยู่เฉลี่ย 1 นาทีเราอยากให้เขาอยู่สัก 1.30 นาที เราก็ต้องคิดแล้วว่า เราจะทำอะไรเพื่อให้เขาอยู่นานขึ้น เราอาจจะจัดเรียงข้อมูล ที่เข้ามาใหม่จัดเรียงข้อมูลของคนที่เข้ามาแล้วอ่าน ใหม่แล้วเราก็ต้องประเมินว่าถ้าทำอย่างนี้เขาน่าจะอยู่นานขึ้น ใช่ไหม เวลาเขาเข้ามาอ่านเรื่องนี้เราอาจจะต้อง เอาเรื่องที่เกี่ยวข้องใกล้เคียงเข้าไปแทรก ระหว่างบทความเพื่อทำให้เขา กดไปอ่านอีกอันหนึ่งต่อมันก็อาจจะเพิ่มเวลาได้ อะไรอย่างนี้และออกมา มันอาจจะมากกว่าที่เราคิดก็ได้แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้น สุดท้าย เราทำไปเสร็จเราก็ต้องไปดู หลังจากเราทำแล้วว่ามันนานขึ้น อย่างที่เราคิดจริงหรือเปล่าถ้านานขึ้น ก็คือปัญหานี้จบไปปรับปรุงอย่างอื่นต่อ อะไรอย่างนี้เป็นต้น

” แล้วคนที่บังเอิญเข้ามา นิ้วไปโดน กดเข้ามาเว็บไซต์เรา มันมีผลอะไรไหม? “

คนที่บังเอิญเข้ามาแบบนิ้วลั่น กดเข้ามาในเว็บไซต์เรา ใช่ไหมครับ ก็มีผลทีนี้ต้องถามว่าและเราจะทำอะไรต่อ จากอันนี้เข้ามาคือเราต้องคิดก่อนว่ามันน่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร ได้บ้าง คือถ้าเรามัวไปคิดว่า คนมีจิตวิทยา อะไรอย่างไร ถึงได้นิ้วลั่น หรืออะไรอย่างนี้ คืออันนั้นมันก็คิดได้แต่ถ้าเราใช้ Google Analytics เราจะดูว่าตรงไหนที่บอกว่า คนนิ้วลั่นมาโดน

ยกตัวอย่างเช่น มันจะมีข้อมูลหนึ่งเขาเรียกว่า bounce rate คืออัตรา ตีกลับ พูดง่าย ๆ คืออัตราการเด้ง ก็คือว่า คนเข้าเว็บไซต์เรามาหน้าเดียว แล้วก็ออกเลยหรือดูระยะเวลา ที่อยู่บนเว็บไซต์เรา ประกอบกันภาษาอังกฤษมันคือ session average session duration คือสมมติว่า คนเข้ามา และมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาแล้วอยู่ 1 วินาที 2 วินาที ตลอดแล้วก็ออก เราก็จะรู้แล้ว นี่คือคนกลุ่มที่เด้ง คือคนกลุ่มที่นิ้วลั่น หรือไม่ก็มาแล้วรู้สึกว่า มาผิดที่ หรือไม่ก็ เขาตรงกลุ่ม แต่หน้าเว็บไซต์เรา ไม่ตรงเอง

แต่ทีนี้ถ้าเกิดว่า หน้าเว็บไซต์หน้านั้น มันมีทางเข้ามาหลายทาง มันมีคนมาจาก Facebook มีคนมาจาก Google มีคนมาจาก LINE@ มีคนมาจาก E-mail แต่สมมติว่ามาจาก Google มาจาก LINE@ มาจาก E-mail เขาอยู่นานหมด แต่มาจาก Facebook ดันอยู่สั้นแสดงว่า หน้าเว็บไซต์ไม่ใช่ปัญหาแสดงว่า ทางเข้าจาก Facebook คือเป็นปัญหาเพราะคนอื่นเขาโอเคกัน มี Facebook คนเดียว เสร็จแล้วเราก็จะเข้าไปดูว่าใน Facebook เรายิงแบบไหนไปบ้างมีพนักงานในทีม Facebook สมมติว่ามี 5 คนเราก็จะไปดูว่า 5 คนนี้มันอาจจะมีแค่คนเดียวก็ได้ที่ทำให้มันออกมาเป็นว่า คนอยู่ 1 วินาทีคนอื่นเขาอาจจะแบบ ครึ่งนาที 1 นาทีกันแต่อาจจะมีแค่คนเดียวพอเราตัดคนนี้ออกสมมติว่า ตัดโฆษณาช่องทางนี้ออกหรือว่าลดงบ หรืออะไรตรงนี้มันก็จะทำให้คนที่กดเข้ามาผิดหายไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องไปดูในรายละเอียดอีกต่อนะว่าหนึ่งคน Facebook ads ตัวนี้มันน่าจะเพราะอะไรอันนี้ต้องใช้วิจารณญาณมันน่าจะเพราะอะไร มันถึงทำให้คนเข้ามาแล้วเด้งคือถ้าเราขุดลงไปถึงรากแล้วเราไปเจอแก่นของปัญหาแล้วเราค่อยใช้วิจารณญาณคือมันจะแม่นยำกว่า แต่ถ้าย้อนไปตั้งแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งหรือว่ามีคนเด้งแล้วเราก็ไม่แน่ใจด้วยนะ มีคนเด้งกี่คนเด้งจริงหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยความเป็นจริง เขาอาจจะอยู่บนเว็บไซต์เรา นานมากก็ได้แต่ว่า หาอะไรที่เราต้องการไม่เจอสักทีแต่ว่า Analytics จะทำให้เรารู้ แล้วก็ขุดได้ลึกลงไป

เรียนแล้วจะได้อะไรบ้าง ? “

เรียนแล้วจะได้อะไรบ้าง ? คอร์สนี้ พี่ตั้งใจทำให้มันมีองค์ประกอบ 3 เรื่องใหญ่ ๆ ก็คือ ติดตั้งเป็นอ่านเป็น แล้วก็ใช้เป็น Google Analytics มันเป็นเรื่องที่ เราต้องมีการไปยุ่งกับ source code หลังบ้าน ในเรื่องที่เกี่ยวกับ programing เล็กน้อยซึ่งถ้าคนที่ทำ IT มาบ้าง ก็จะสบาย ๆแต่ว่าถ้าคนที่ไม่ได้เกี่ยวกับ IT เลยก็จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวแต่ทีนี้ต้องพูดให้ชัดเจนว่า คนที่แม่บ้าน ๆ อะไรอย่างนี้ แต่ถ้ามีความตั้งใจ ที่จะทำตามมันก็ทำได้แหละมันก็อารมณ์เหมือนกับจู่ ๆ ให้พี่ไปซ่อมอ่างล้างมือ อะไรอย่างนี้พี่ก็ซ่อมไม่เป็นหรอกแต่ว่าถ้ามันมีคนสอนสักหน่อยมันหลวมก็ไขตรงนี้ไขตรงนั้นใช้ประแจเบอร์นี้ เราก็จะทำเป็นแล้วทั้ง ๆ ที่ตอนแรกมันดูไกลตัวมากเลยนะ เรื่องติดตั้งแล้วเกี่ยวกับ programing อะไรอย่างนี้ ก็คือเหมือนกัน ทีนี้อารมณ์ เหมือนกับว่าพี่จะพยายามทำให้เรื่องติดตั้ง มันเป็นคู่มือแล้วก็เป็นวิดีโอ ให้ดูซ้ำก็คือทำเสต็ป 1 2 3 4 5 6แล้วทำ 6 อันนี้ปุ๊บก็จะได้สิ่งที่เราควรจะได้อันนี้คืออย่างหนึ่งนะ

อย่างที่สองก็คือพี่ก็จะอธิบายให้มันเห็น ในรายละเอียดมากขึ้นว่าถ้าเราอยากได้แบบนั้น แบบนี้ แบบโน้นเช่น เราอยาก track ปุ่ม Add LINE ด้วยเราอยาก track หน้าขอบคุณด้วยเราอยาก track หน้า ซื้อของสำเร็จด้วยเราอยาก track หน้าขอใบเสนอราคาด้วยเราอยาก track หน้าคนทัก inbox Facebook ไปด้วยเราอยาก track หน้า live chat คือคนแชทสด ๆ ในหน้าเว็บไซต์หรือเราอยาก track หน้าคนเข้าไปดูหน้า ตัวแทนจำหน่ายหรือเราอยาก track หน้าคนเข้าไปดูตัวแทนจำหน่ายอย่างน้อย 1 นาทีขึ้นไปเพราะว่าเราอาจจะมองว่า มีคุณภาพกว่าหรือเราอยากจะ track คนที่เข้าไปหน้าติดต่อเราเพราะดูเขาเหมือนตั้งใจมากกว่าอะไรพวกนี้ ก็จะสอนให้เราสามารถที่จะ ไปประยุกต์ใช้ได้เองอันนี้คือเรื่องแรก คือติดตั้งเป็น

เรื่องที่ 2 ก็คือ อ่านผลเป็นอ่านผลเป็น จริง ๆ พี่มองว่า การอ่านตัวเลขใน Google Analytics มันค่อนข้างเป็นศิลป์ เป็นศิลปะ อย่างสมมติ ถ้าพี่ทำงานเกี่ยวกับ Google Analytics สิ่งที่พี่จะทำก็คือมาถึงพี่ก็กระโดด ขย้ำเข้าไปดูเลยแล้วก็ ดู ๆ ๆแล้วสัญชาตญาณพี่ มันก็จะเกิดคำถามขึ้นมาว่าทำไมเดือนนี้ ยอดน้อยกว่าเดือนที่แล้ว 20% พี่ก็จะเริ่มหาสาเหตุว่าใครที่ทำให้มีคนเข้าเว็บไซต์ เยอะที่สุดในเดือนนี้กับเดือนที่แล้ว พี่อาจจะพบว่า Google Adwords แล้วพี่ก็ไปดูต่อว่าหรือ Google Adwords จะเป็นปัญหาเพราะคนเข้ามาจากอันนี้ เยอะที่สุดก็เข้าไปดูต่อ ก็พบว่านี่ไง อันนี้มีปัญหาจริง ๆ ด้วย อะไรอย่างนี้มันเหมือนแบบ เป็นสัญชาตญาณเราดูแล้วเราก็ คิด ๆ ๆ ไปแล้วเราก็เจอปัญหาแล้วเราก็หาเหตุผล แล้วเราก็แก้ อันนี้คือสมัยที่พี่ทำเองยังไม่ได้ต้องไปสอนใครแต่พอจะสอนพี่พยายามทำให้มันเป็นศาสตร์แทนที่มันจะเป็นศิลป์อย่างเดียว

ศาสตร์ก็คือว่า พี่พยายามจะออกแบบว่าเราต้องคิดอย่างนี้ 1 2 3 4 5 6 7 step แล้วมันน่าจะ makesense  ว่าอย่างทำนี้แล้วในรายละเอียด มีอะไรบ้างแล้วมันน่าจะทำให้การวิเคราะห์ ปรับปรุงแก้ไขและวัดผลผลอีกครั้ง มันจบ loop ของมันได้ซึ่งกว่าจะทำอย่างนี้ได้ มันมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกหลากหลายเยอะแยะเลยอย่างเช่น เราก็ต้องรู้ว่า มันทำอะไรได้บ้างอ่านตัวเลข อ่าน report อะไรได้บ้างแล้วก็เข้าใจหลัก แล้วก็ศาสตร์ของการวิเคราะห์อีกอย่างที่ค่อนข้างสำคัญเหมือนกันก็คือเราก็ต้องรู้ว่ามันมี เครื่องมืออะไรไว้แก้ไขการวิเคราะห์อันนั้นบ้างอันนี้ก็คือ อ่านเป็น

ส่วนใช้เป็น มันมีอะไรบางอย่างที่ Google Analytics มันไปเหมือนเสริมเขี้ยวเล็บให้กับการทำโฆษณาบน Google ได้ยกตัวอย่างเช่นการทำ remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอนถ้าเป็น Google Analytics มันจะสามารถทำได้ advance กว่าเพราะว่าเราจะสามารถ เอาข้อมูลทุกอย่างที่ Google Analytics มีไปเลือกเป็นเงื่อนไข ของกลุ่มเป้าหมายได้เช่นปกติ คนที่ทำ remarketing โดยมากก็อาจจะตามทุกคนที่เข้าเว็บไซต์แต่พี่เปรียบเปรยอย่างนี้แล้วกัน ก็คือ เราลองนึกถึงสมมติว่าเรามีร้านค้า ขายเสื้อผ้าแล้วกันอยู่ในห้างสรรพสินค้าแล้วก็ ในขณะที่ห้างเราก็มีร้านขายเสื้อ ร้านอะไรเยอะแยะเลยแล้วมันก็มีคนเดินผ่านอยู่เรื่อย ๆทีนี้ถ้าเราลองนึกถึงว่า ถ้ามันมีผู้หญิง 2 แบบ แบบแรก คือเดินผ่านแล้วก็มองเราด้วยหางตาแล้วก็เดินผ่านไป หรือว่ามองหางตา แล้วก็หยุดดู 1 วินาทีแล้วก็เดินผ่านไป กับคนที่ 2 คือเดินมาแล้วก็หยุดอยู่ที่เรา สัก 2 นาทีแล้วเดินดูอันโน้นอันนี้แล้วพอเดินผ่านไป ก็ยังเหลียวหลัง มองสินค้าเราแต่ว่าแฟนจูงมือเดินไปแล้วแต่ตัวเองคอยังหันมามองอยู่ อย่างนี้คำถามก็คือว่าเราลองนึกว่า ถ้าเป็น 2 คนนี้เข้ามาในเว็บไซต์เราเราควรจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่มันแตกต่างกันถูกไหม คนที่มาแว้บ ๆมันบ่งบอกระดับหนึ่งว่า fact ข้อหนึ่งก็คือเขาดูเหมือน จะสนใจเราน้อยกว่าอีกคนหนึ่งทีนี้ถ้ามันเป็นคนคนเดียว มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้แต่ว่าใน Google Analyticsมันจะทำให้เราเห็นว่ามันมีคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใหญ่ ๆ อาจจะเป็นร้อยเป็นพัน ของข้อมูลเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นคนที่มันเป็นอย่างนี้กับอีกหมื่นคน ที่มันเป็นอย่างนี้

ถ้าเรารู้ว่า คนที่เป็นอีกแบบหนึ่งเราน่าจะขายของเขาได้มากกว่าเราก็จะหาวิธี ทำโฆษณาไปหาเขามากขึ้นก็ลดสัดส่วนของโฆษณา ของคนที่เป็นแบบแรกลงมันจะทำให้เรียกว่าใช้เป็นก็คือทำให้เรา adapt แล้วก็ทำให้เรา ทำโฆษณาได้ละเอียดขึ้น

ดังนั้นถ้าถามว่า โดยสรุปแล้วได้อะไรก็คือ ติดตั้งเป็น อ่านเป็น แล้วก็ใช้เป็นแล้วก็ มันก็จะนำมาสู่เรื่อง การเพิ่มยอดขายของธุรกิจได้ การลดต้นทุนโฆษณาแล้วก็สามารถขยายผลความสำเร็จของเราให้มันมากขึ้นแล้วก็แก้ปัญหาอะไรที่มันไม่สำเร็จ ไม่สัมฤทธิผลให้มันดีขึ้น หรือไม่ก็ตัดออกไป แล้วข้อมูลพวกนี้ เราสามารถเก็บไว้ใช้ได้ตลอดเวลา

คือเวลาคนที่ทำการตลาดออนไลน์พอทำไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเจอปัญหาหนึ่งก็คือโดน copy วิธีการสมมตินะ พี่พูดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าเป็นคอนเซ็ปต์อย่างนี้คือคนอื่นเขาเห็น เขาก็ไปพูดตามได้แล้วเขาเห็นแล้วเขาก็ทำตามได้ทันทีเลยสมมติเราบอกว่า สินค้าเราดีอย่างโน้นอย่างนี้เราคิด ทำแทบตายนะ พอมันปังปุ๊บอีกร้อยเจ้าไปก๊อป เรียบร้อยสบายไม่ต้องคิดเลยดังนั้นอะไรที่มันอยู่เบื้องหน้าคอนเทนต์ หน้าเว็บไซต์ อะไรตรงนี้ มัน copy กันได้ คนที่ copy แล้วพัฒนาก็เยอะ แล้วก็เก่งด้วยแต่ว่า สิ่งที่ copy กันไม่ได้และ copy กันยากกว่าก็คือ เบื้องหลังก็คือข้อมูลข้างหลังบ้านที่เรารู้อยู่ของเราคนเดียว ว่าโน่นดี นั่นดีและเราเอามาประยุกต์ใช้ อะไรอย่างนี้มันก็จะเป็นภูมิคุ้มกัน เกราะป้องกันของเราได้ด้วยในการต่อยอดธุรกิจ

” แล้วคนที่เข้ามาหน้าเว็บไซต์เรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนนี้จบการขาย? “

คนที่เข้ามาหน้าเว็บไซต์เรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คนนี้จบการขายมันแบ่งเป็นสองแบบก่อน ก็คือเว็บไซต์ ที่ซื้อจบบนเว็บไซต์ให้นึกถึง Lazada / Agoda ก็คือคนเข้ามาดูของ ซื้อแล้วจบจบบนเว็บไซต์ได้เลย ไปถึงหน้าขอบคุณ เอาคร่าว ๆ ก็คือ เราจะไปกำหนดว่าเมื่อไรที่เขามาถึงหน้าขอบคุณเราจะนับ 1 แต้ม และ 1 แต้มนั้น เรากำหนดได้ว่า มันมีมูลค่าเท่าไรอันนี้เขาเรียกว่า Ecommerce tracking เราก็จะวัดได้แล้ววันนี้มีมาถึงหน้าขอบคุณ 5 คน ก็แปลว่า 5 ออเดอร์รวมเป็นยอด 20,000 บาท ก็คือ 20,000 บาท แยกได้แม้กระทั่งว่า เป็นค่าขนส่งเท่าไร ค่าอันนี้เท่าไร

ส่วนแบบที่ 2 ก็คือเว็บไซต์ที่ไม่มีการจบการขาย บนหน้าเว็บไซต์คนจะต้องทักไปที่ LINE@ หรือ Facebook inbox เพื่อคุยและปิดการขาย ดังนั้นแบบนี้คนก็จะต้องเข้าไปคุยและจะต้องมีเซลล์ ปิดการขาย ดังนั้นปัจจัยที่มันสำคัญมาก ก็คืออัตราการปิดการขายของเซลล์คนนี้มันได้กี่เปอร์เซ็นต์สมมติว่า ปกติแล้ว 100 คน เซลล์จะปิดได้ 30% ทักไป 100 จะปิดได้ 30 ทักไป 10 จะปิดได้ 3 คนโดยเฉลี่ยสมมติดู 3 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นสมมติว่า เราอยากได้คนซื้อ 60 คนต่อเดือนเราก็ต้องให้คนทักมา 200 คนแล้วก็คูณ ก็จะได้ 60 ออเดอร์ 30% เล่าข้ามก็คือวิธีการ track ก็คือว่า เราจะ track ว่าเมื่อไรที่มีคนกดปุ่ม add LINE เราจะนับเป็น 1 การทัก เราก็จะนับได้ถึงแค่การทัก หรือกดโทรในเว็บไซต์ หรือกดทักเข้ามาใน Facebook inbox ถ้าอยากคำนวนเป็นยอด โดยเฉลี่ยเพื่อพยากรณ์ หรือว่าวางแผนในครั้งถัดไปก็ทำอย่างที่พี่เล่าให้ฟังตอนแรก

” หน้า Thanks you Page เวลาที่สมมติเขาซื้อกับเราเรียบร้อยแล้ว พอมันเด้งว่า Thanks you Page มันนับเลยหรือเปล่า? เพราะว่าเคยเห็นบางอัน Thanks you Page มันมีให้คนที่ซื้อกด OK ถ้าเขาไม่กด แบบกดออกไปเลย นับไหม?”

ก็มันอยู่ที่การ setup มันเซ็ตได้หมดคือเข้ามาหน้า Thank you แล้วนับเลยต้องกด OK ก่อนแล้วค่อยนับ ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราเซ็ตผิดบางคนก็เซ็ตเลยคือยังไม่เข้าหน้า Thank you ก็คิดแล้ว อะไรอย่างนี้สมมติเซ็ตผิดใช่ไหม ก็กลายเป็นว่ากด add LINE ปุ๊บ คิดเป็นยอดขายเลยตัวเลขยอดขาย ก็ขึ้นใน Google Analytics เลยแค่ทักไปใน LINE จะดูเป็นคนรวยมากยอดวัน ๆ หนึ่งจะ 3 แสน อะไรอย่างนี้เพราะว่า track ผิดไงก็คือเขาทักแต่ยังไม่ซื้อ แต่ไป track แล้วติดตั้งไม่เป็น ข้อมูลที่ได้ก็จะเพี้ยนแล้วก็จะอ่านตีความผิด ก็เป็นผลสืบเนื่องกัน

” แล้วเขาจะรู้ตัวได้อย่างไร ว่าเขาเซ็ตผิด คือถ้าที่ไม่รู้ตัวก็จะแบบโห ยอดเข้าเยอะเลย! “

ก็จริง ๆ รู้ได้อย่างไรหรอคือพี่คิดว่า หนึ่งก็คือ ประสบการณ์อย่างพี่ มีประสบการณ์เยอะพี่ดูพี่จะรู้แล้ว ว่ามันไม่ makesense แต่ว่าถ้าพี่ไม่มีประสบการณ์ พี่ไปดูอ่างล้างมือ พี่ไม่รู้หรอกว่ามันรั่วมันซึมมันมีสนิมอะไร พี่ไม่รู้เรื่องหรอกแต่ว่า คนที่เขามีประสบการณ์เขาดูแล้วเขารู้ไงอันนี้ก็คือ อย่างที่หนึ่ง สองก็ต้องมีความรู้แล้ว 3 ก็คือ มันก็ต้องทบทวนข้อมูลตัวเองบ่อย ๆมันก็จะเห็นความผิดปกติ สมมติใน Analytics มันขึ้นยอดเดือนหนึ่ง 5 ล้านแต่ยอดขายจริง ๆ 3 ล้านมันก็ต้องรู้แล้วว่ามันผิดมันก็ต้องรู้อยู่แล้ว ที่ไม่รู้ แสดงว่าไม่ได้ดู track ไว้แต่ไม่ได้ดู เพราะว่าอย่างที่ว่าไง คือมันมีให้ดูเยอะเกินไปจนเราไม่รู้จะดูอะไรก่อน พี่ก็เลย อย่างที่ว่าคือต้องพยายาม ทำให้มันเป็นศาสตร์ขึ้นมา ว่าคิดอย่างนี้ก่อน แล้วค่อยไปดู มันจะได้ตรงประเด็น กับการแก้ปัญหาธุรกิจเรา

” เหมือนที่พี่เบิร์ดทำเอาไว้ก็คืออย่างนี้ ยอดใน Analytics มันเยอะ แต่ยอดขายจริงๆมันน้อย เวลาเอามาเทียบกัน มันต่างกัน อันนี้คนที่มาเรียนจะรู้เลยใช่ไหม ว่าเราติดตั้งผิด เราต้องไปแก้ที่ตรงนี้ “

พี่คิดว่ารู้นะ รู้อยู่แล้ว เพราะว่า มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว คือถ้าคุณทำธุรกิจ คุณก็ต้องดูยอดขายตัวเอง ทุกเดือนอยู่แล้ว แทบจะทุกวันทุกสัปดาห์ด้วยซ้ำ

” แต่เหมือนว่าเขาจะรู้เลยใช่ไหม ว่ามันผิดตรงนี้ ผิดที่อะไร ไม่ใช่แบบว่า อ๋อ มันผิดที่ตรงนี้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ตรงนี้ แต่จริงๆแล้วไปผิดอีกจุดหนึ่ง “

ก็ถ้าเขาเข้าใจเนื้อหาที่สอน อย่างละเอียดซึ่งพี่ก็จะพยายามนะ ก็จะรู้ แต่บางทีถ้าเกิดว่าไม่แน่ใจก็ต้องใช้วิธี ที่เราทำกันทุกคอร์ส ก็คือมาถามก็อย่างที่ว่าแหละ คือไม่ว่าเราจะเรียนอะไรพี่คิดว่าเราไม่สามารถ ถามคนสอนได้เลยพี่ว่าคนที่เรียนรู้เรื่อง และเก็บได้หมดก็ต้องถามตัวเองใช่ไหม ถามคนสอนไม่ได้ ก็ต้องถามตัวเอง ก็แสดงว่าเป็นคนที่เก่งมากนะ ดังนั้นคนเก่งก็จะไปได้ คิดเอาตระหนักเอาแต่ว่า พี่สอนมาก็เยอะรุ่นแล้วก็เห็นคนเก่ง ที่ดูคิดเก่งแล้วมาถามคำถามที่น่าสนใจกับพี่คือมันก็เร็วกว่าอยู่ดีแหละส่วนคนไม่รู้ ก็ค่อย ๆ อัพตัวเองขึ้นมาถามเพื่อน ถามอะไรในกลุ่ม ช่วยกันคอมเมนต์

” อยากรู้ขั้นตอนการติดตั้ง ว่ามีกี่ขั้นตอน มีกี่เครื่องมือ ที่ต้องติดตั้ง แบบเอาคร่าวๆ ”

ขั้นตอนการติดตั้ง แล้วก็เครื่องมือ เครื่องมือคร่าว ๆ จะมีประมาณ 4-5 ตัวด้วยกัน

ตัวแรกก็คือ Google Tag Manager ก็เป็นเครื่องมือสำหรับติดตั้ง โดยเฉพาะ
2. ก็คือ Google Analytics ที่จะเป็นเนื้อหาที่โฟกัสของคอร์ส
3. ก็คือ Google Search Console อันนี้จะเอาไว้ track พวกเรื่องเกี่ยวกับ SEO
4. ก็คือพวก Chrome Extension ต่าง ๆเป็นตัวเสริมของ browser Google Chrome ของเราที่เราจะเอาไว้ track เอาไว้ดูว่า โค้ดเรามันทำงานได้ปกติหรือเปล่า

ดังนั้นอันนี้ก็จะเป็น เครื่องมือช่วยอีกอันว่าเวลาเราเข้าเว็บไซต์มา มันจะขึ้นเตือนตลอดว่านี่กำลังปกติอยู่ นี่ไม่ปกติแล้ว อันนี้เรียกว่า Google Tag Assistant กับ Google Analytics Debugger ชื่อมันจะดูไม่ค่อยเป็นมิตรหน่อยนะแต่ว่ามันไม่ได้ใช้ยากขนาดนั้น มันขึ้นมาเลย เป็นหน้ายิ้ม หน้าบึ้ง อะไรอย่างนี้ หน้ายิ้มก็คือ ถูกต้อง หน้าบึ้งก็คือ ผิดแล้วกดไปดูก็ผิด เพราะอะไรมันก็จะเขียนบอก

ส่วนวิธีติดตั้งใน Tag Managerอันนี้พูดเร็ว ๆ นะ มันยาวมากเลยก็คือ เอา Tag Manager code ของมันไปติดใน header กับ body ในเว็บไซต์ อันนี้พูดแบบเร็ว ๆ เฉย ๆ นะ แต่ว่าในคลาสพี่เข้าใจว่า คนไม่รู้เรื่องคอมฯมันต้องละเอียดมาก ก็เอาไปติด ๆ เสร็จปุ๊บ ก็ไปกด setup ใน Google Tag Manager เพื่อสร้าง Google Analytics เสร็จปุ๊บ ก็เลือกว่าจะ track อะไรบ้างเป็นพิเศษ นอกเหนือจากที่ Analytics มัน track ได้ อยู่เยอะแยะมากมายอยู่แล้วพิเศษ ๆ เช่น track ปุ่ม add LINE เราก็ต้องไปสั่งใน Google Tag Manager ซึ่งเป็นตัว setup เพื่อจัดการประมาณนี้ คร่าว ๆ แล้วมันก็จะมี ตัวให้เทส ให้เช็คว่านี่เราทำถูกต้องแล้วหรือยัง

” Tag Manager มันเหมือนเป็นตัวศูนย์กลาง ที่ใครอยากรู้เรื่องอะไร ก็ต้องมา Tag “

Tag Manager เป็นศูนย์กลางของการติดตั้ง Analytics เป็นศูนย์กลางของ ข้อมูลในเว็บไซต์ Adwords เป็นศูนย์กลางของการ จัดการโฆษณา แล้วก็ Search Console เป็นศูนย์กลางของเรื่อง SEO คือการติดหน้าแรกบน Google

” ใครที่ควรจะเรียน? “

ใครที่ควรจะเรียนเอาพูดรวม ๆ ก่อนก็คือคนที่ทำการตลาดออนไลน์แล้วดึงคนเข้ามาที่เว็บไซต์สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณจะมีข้อมูลเยอแยะมากมาย เกิดขึ้นข้อมูลเหล่านี้ ก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นคนทุกคนที่ทำการตลาดออนไลน์แล้วดึงคนเข้ามาที่เว็บไซต์ก็เหมาะจะเรียนทีนี้ มันเหมาะจะเรียน จะมากจะน้อย พี่คิดว่าอันนี้ข้อแรก คือมันอยู่ที่ปริมาณคนเข้ามาคุณบอกว่า คนเข้าเว็บไซต์คุณ วันละ 5 คนอย่างนี้พี่ว่าไม่ต้องมาเรียนหรอกเพราะว่ามันไม่มีอะไรให้วิเคราะห์แต่ถ้าคนเข้าเว็บไซต์คุณ สักวันละ 100 คนขึ้นไปแล้ว มันเริ่มมีข้อมูลมากขึ้นแล้วและยิ่งคุณบอกว่า คนเข้าเว็บไซต์คุณ วันละเป็นพันหรือเกือบพันอะไรอย่างนี้เดือนหนึ่งหลายหมื่น หรือเป็นแสนอย่างนี้คือต้องเรียนเลยเพราะว่า ข้อมูลที่เอาไปใช้ประโยชน์ได้ของเราคือมันเยอะมากและการที่คุณมีคนเข้าเยอะขนาดนี้ยิ่งเยอะแปลว่า เงินโฆษณาที่คุณลงทุนอยู่ ยิ่งเยอะ ดังนั้นถ้าคุณได้ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมคุณสามารถไปลีน ส่วนไม่มันไม่เกิดประโยชน์ ออกได้ก็จะทำให้กำไรเราเยอะขึ้นใช้ต้นทุนน้อยลง แล้วก็เพิ่มยอดได้

ส่วนคนที่มีข้อมูลปานกลางปานกลางของพี่ ก็อาจจะไม่เยอะวันหนึ่ง 100-200 คน เข้าเว็บไซต์อย่างนี้ เราก็เอาข้อมูลตรงนี้ไป adapt อย่างอื่นได้คือบางทีจะวัดด้วยปริมาณคนเข้าเว็บไซต์อย่างเดียวมันก็ไม่แน่ เพราะว่าสมมติถ้าคนเขาเข้าเว็บไซต์คุณทุกวัน วันละ 50 คนคือเหมือนไม่เยอะใช่ไหม แต่ซื้อของวันละ 5 คน ก็คือตั้ง 10% มันก็ถือว่าใช้ได้แล้วแสดงว่า ข้อมูลมันไม่เยอะแต่มันมีข้อมูลที่มีคุณค่าอยู่ก็คือ เราต้องรู้ให้ได้ว่า 5 คนที่ซื้อของส่วนใหญ่ ซื้อได้อย่างไร ซื้อเพราะอะไรและมาจากไหน และเป็นใคร อะไรอย่างนี้ เราก็จะได้ไปขยายผลอันนี้ก็คือ ตอบรวม ๆ แต่ถ้าให้ segment แยกย่อยก็
1. เจ้าของธุรกิจที่เข้าเงื่อนไขเมื่อกี้
2. ก็คนทำงานประจำ ทำการตลาดออนไลน์หรืออยู่ในบริษัทองค์กร ที่เว็บไซต์เข้าเงื่อนไขเมื่อกี้และ
3. ก็คือพวก ที่ปรึกษาการตลาดจริง ๆ ก็ทั้ง agency นะทั้งที่ปรึกษาการตลาดแบบดั้งเดิมแบบสมัยก่อน ที่ผันตัวเองมาทำออนไลน์ก็ควร ไม่ใช่ควรแล้วนะมันต้อง มันไม่รู้ไม่ได้แล้วไม่รู้ไม่ได้แล้ว เมื่อวานนี้ พี่ยังคุยกับเพื่อนอยู่ว่าเดี๋ยวนี้คนทำธุรกิจ อายุเยอะ ๆ แล้ว เก่งเนอะขยันมากเลย มาเรียนกันเยอะ อะไรอย่างนี้พี่ก็บอกว่า เพราะมันไม่เรียนไม่ได้แล้ว ตอนนี้มันไม่ทำไม่ได้แล้ว มันไม่ขยันไม่ได้แล้วคือแบบ Do or Die คือทำกับตาย เลือกสักอย่างถ้าไม่ทำก็ตายเลย รดน้ำต้นไม้ไป ลูกค้า อะไร มันก็จะหายหมดเพราะว่าบนออนไลน์เขา รุกเอา ๆ ๆ คนก็เข้ามาออนไลน์เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลมันก็อยู่บนนี้ มากขึ้นเรื่อย ๆ

มันก็จะมีคำถามว่าถ้าทำแต่ Facebook ads คือถ้าทำ Google ต้องเรียนอยู่แล้วหรือทำ SEO ก็ต้องเรียนอยู่แล้ว ถ้าทำ Facebook ads อย่างเดียวเรียนได้ไหม ก็ต้องถามว่าคุณทำ Facebook Ads แล้วคุณดึงคนเข้าเว็บไซต์บ้างหรือเปล่า ถ้าไม่ดึงคนเข้าเว็บไซต์เลย ก็ไม่ต้อง ถ้าแบบไม่ได้คิดว่ามันสำคัญเลยนะคือโพสต์หน้า Facebook แล้วก็ขายได้ จบถ้าอนาคต จะต้องเน้นเว็บไซต์มากขึ้นก็ค่อยพิจารณาแต่ถ้าทำ Facebook แล้วดึงคนเข้าเว็บไซต์อยู่แล้วอันนี้ก็สำคัญ เท่ากับทำ Google

” อยากรู้ตรงนี้ว่าถ้ามาเรียนแล้ว ได้เปรียบคู่แข่งอย่างไร? “

ถ้ามาเรียน แล้วได้เปรียบคู่แข่งอย่างไรคือเอาจริง ๆ พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าคู่แข่งเราเขารู้ขนาดไหนเท่าที่พี่รู้ พี่เปรียบเทียบอย่างนี้ ก็คือ Agency Google Adwords ที่เป็น partner ที่ได้รับการรับรองในประเทศไทย พี่ว่ามีเป็นร้อย ๆแต่ Google Analycts ถ้าพี่เข้าใจไม่ผิดมี agency ที่ได้รับการรับรอง 1 เจ้าที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่เป็นผู้นำ เรื่องดิจิทัลมากที่สุดเลยนะ ในโซนนี้ก็ Google สำนักงานใหญ่ในโซนนี้ที่หนึ่งก็อยู่ สิงคโปร์ ซึ่งในสิงคโปร์เกี่ยวกับ Google Analytics พี่คุยเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วในขณะที่ Adwords มีเป็นร้อยเป็นพันเจ้า Analytics มี 3 บริษัทที่รับทำสิ่งที่พี่จะบอกคือคนรู้และเข้าใจ Google Analycts น้อยมากคนที่รู้จริง และใช้ประโยชน์จากมันได้เยอะ ๆ น้อยมาก ๆ เลยเพราะว่า เรายังอยู่ในยุคของการ ทำ ๆ ๆ เริ่มทำด้วยคือหมายถึงว่า เราเริ่มทำ Facebook ads เราเริ่มทำโฆษณา Google ถ้ามองใน Google / Facebookมันก็จะมีคนเริ่มทำใหม่ เยอะมากแล้วมันจะมีคนรู้จริง พี่ว่าสัก 1% ของคนที่ทำทั้งหมดแต่ถ้าเป็น Google Analytics ยิ่งน้อยไปใหญ่เลยคือคนแค่คิดจะเริ่มทำพี่ว่ามันเท่ากับ 1% ของคนที่ทำ Adwords คนที่ทำ Analyticsแบบมีเจตนาที่จะทำ และจะดูข้อมูลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง อะไรอย่างนี้พี่ว่ามันเท่ากับคนที่รู้จริงของ Adwords ก็คือ 1% ส่วนคนที่รู้จริง ๆ เข้าไปอีก ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่เลยพวกรู้ส่วนใหญ่จะเป็นพวก 1. Agency ที่ต้องทำให้ลูกค้า องค์กรขนาดใหญ่เพราะว่าพวกนี้ คนเข้าเว็บไซต์เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน ต่อเดือน ดังนั้นพวกนี้ ข้อมูลสำคัญแต่ SME ถ้าคุณบอกว่าคุณเป็น SME ส่วนใหญ่คู่แข่ง ไม่ค่อยรู้ ดังนั้นถามว่า สรุปแล้วว่า ได้เปรียบอย่างไรก็คือก็อย่างที่บอกคือ 1. เรามีข้อมูลที่เราสามารถ ไปขยายผลของเราได้ 2. ก็คือ เรารู้วิธีปรับปรุง การตลาดของเราให้ดีขึ้นและรู้วิธี เอาชนะใจลูกค้ามากขึ้นคือส่วนตัวพี่ เวลาทำการตลาดออนไลน์อันนี้แล้วแต่ความเชื่อ แต่ละคนนะแต่ส่วนตัวพี่ สมมติว่ามีมีเรา มีลูกค้า มีคู่แข่งคนที่พี่จะสนใจอันดับสุดท้าย ก็คือคู่แข่ง คนที่พี่จะสนใจ 2 อันดับแรกก็คือเรากับลูกค้า ซึ่งคีย์คือต้องสนใจเท่ากันด้วยไม่ได้สนใจลูกค้ามาก จนเราเสียเปรียบไม่ได้สนใจตัวเองมากจนลูกค้าเขาไม่สนใจเราเหมือนกันเพราะเราสนใจแต่ตัวเองแต่ว่าเราต้องแบบ สนใจเรากับลูกค้า ก็คือเขาเข้ามาในเว็บไซต์เราทำไมแป๊บเดียวเขาออกถ้าเขาออกแล้วอย่างนี้ เขาจะซื้อได้อย่างไรเราก็ต้องหาทางแก้แล้วพอเขาอยู่นานขึ้น นี่ไงเขาซื้อเยอะขึ้นแล้วเราก็ถามตัวเองว่าเราจะไปหาลูกค้ากลุ่มแบบนี้ ที่ไหนได้อีกเพราะว่าลูกค้าแบบนี้ ชอบซื้อของเราจากสิ่งที่เราปรับคือถ้าคิดถึงเรา กับลูกค้าอยู่ตลอดยอดมันก็จะขึ้นแต่ถ้าเราไปคิดถึงคู่แข่งเพราะว่า SME คู่แข่งมันมั่วมากหมายถึงว่ามันเยอะสมมติว่าอย่างพี่ อย่างนี้พี่ทำคอร์สสัมมนาอย่างนี้คือคู่แข่ง มันเป็นสิบเป็นร้อยพี่จะไปดูใครล่ะ ถ้าพี่ไปดูแล้วพี่ทำตามทุกคนหรือว่าไปวิเคราะห์ทุกคนจริง ๆ มันก็ดีนะ แต่ถามว่าสุดท้ายพอวิเคราะห์ทุกคนในมุมหนึ่งเราก็ได้ประโยชน์ จากการวิเคราะห์แต่มันเป็นการวิเคราะห์แบบฉากหน้าฉากหลังเราไม่รู้ เขาทำอะไรบ้าง ดังนั้น สิ่งที่เราวิเคราะห์ อาจจะผิดก็ได้แต่ว่าในอีกมุมหนึ่ง ก็คือพอมันคู่แข่งเยอะมาก แล้วเราวิเคราะห์หมดบางทีมันก็เหมือน ไม่ได้วิเคราะห์เลยเพราะมันไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลย ดังนั้นพี่ก็เลย สนใจคู่แข่งเป็นอันดับสุดท้ายแล้วก็ เอาเรากับลูกค้าก่อนเท่ากัน

” เรื่อง Google Analytics ก็มีสอนในคอร์ส Google Adwords อยู่แล้ว ทำไมต้องแยกคอร์สออกมา เนื้อหามันต่างกันตรงไหน ? “

Google Analytics ใน Adwords จริง ๆ แล้วพี่ตั้งใจ จะใช้มันเป็นแค่ทางผ่านไปสู่การทำ สิ่งที่เรียกว่า  Conversion tracking

Conversion tracking ก็คือเราต้องการที่จะ track ความสำเร็จอย่างเช่นการซื้อ หรือการ add LINE@ บนเว็บไซต์เรานี่แหละ จากการทำโฆษณาบน Google เพราะพี่มั่นใจว่า การที่เราทำการตลาดบน Google ไป แล้วเราไม่ track conversion เท่ากับเหมือนเราเล่น ไฮโล ก็คือ เราต้องแทงเอาเลยว่า เราจะเปิด keyword ไหน ปิด keyword ไหน ถ้าเราแทงผิดก็ยอดตก เราแทงถูกก็ยอดดีขึ้น ซึ่งมันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่มันมีข้อมูลให้เรารู้ว่า นี่เราแทงอันนี้ ชนะตลอด แทงอันนี้แพ้ตลอด เราก็ควรแทง อันที่เราชนะอย่างเดียว ทีนี้ก็เลยเป็นแค่ เอามาย่อ ในคอร์ส Google Adwords เพื่อให้เรา track conversion เอาไปใช้กับ Adwords ได้ เพราะว่าเนื้อหา Analytics คือมันเยอะมากและพี่สอนไปแล้ว 1 รุ่น สอนเฉพาะศิษย์เก่าตอนแรกพี่คิดว่า เราควรจะจัด 1 วัน หรือ 2 วันดี เพราะพี่เห็นคู่แข่งในตลาดทุกคน จัด 1 วันกันหมด จัด 1 วันกันหมดเลยนะ พี่ก็พยายามนั่งคิดเนื้อหาออกมาแล้วพี่ก็ไม่แน่ใจว่า 1 วันนี่น้อยไปแน่แต่ 2 วันมันจะเยอะไปไหมแต่หลังจากที่สอนไปรุ่นหนึ่ง ก็พบว่า 2 วันก็แทบจะไม่พอเลย ตอนแรกพี่ตั้งใจว่าจะเป็นคอร์สที่ เริ่ม 9 โมง เลิก 5 โมงเย็นไม่ใช่่ 6 โมง 6 โมงครึ่ง เหมือนคอร์สอื่น น่าจะพอก็ปรากฎ ก็ต้อง 6 โมง 6 โมงครึ่ง เหมือนเดิม เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ต้อง 2 วัน ดังนั้นก็ในเมื่อ Analytics ต้องใช้ 2 วัน มันก็ไปอยู่ใน Adwords ไม่ไหวแล้วแหละเพราะว่าการบ้าน Adwords มันก็เยอะอยู่แล้ว

” แล้วทำไมถึงไม่จัด 2 วันติด ทำไมถึงเว้นไว้ ? “

เหตุที่ไม่จัด 2 วันติดเพราะว่าหนึ่งเลย คืออยากให้เราได้ คือบางคน อาจจะยังไม่เคยติดโค้ดมาเลยและในคอร์สพี่ต้องการอยากจะให้มันมีเรื่องของการวิเคราะห์ ของตัวเองเอาของตัวเองเป็นโจทย์แล้วก็ส่งการบ้าน  ดังนั้นถ้าเรายังไม่ติดเลยเราก็จะไม่มีข้อมูล ให้วิเคราะห์เลยดังนั้น พี่ก็เลยอยากให้เราติด ก่อนที่จะมาเรียนด้วยซ้ำก็จะมีคลิปปรับพื้นฐานให้ ไปติดกันมาก่อนเสร็จปุ๊บ ก็มาถึงวัน ก็จะมาขยี้กันอีกทีว่าติดอย่างไรให้มันสมบูรณ์แล้วก็อยากเว้นระยะเวลาไว้สักช่วงหนี่งสมมติว่าอาจจะสักหลายวันอย่างนี้เดี๋ยวต้องดูเป็นแต่ละรุ่น แต่ละรุ่นไปก็เอาข้อมูลตรงนั้นไปวิเคราะห์แล้วก็ เอามาส่งเป็นการบ้านกันมันจจะได้มีข้อมูล สถิติอันนี้คือความตั้งใจ อยากให้มันเป็นอย่างนั้น

” แล้วคนที่ยังไม่เคยทำโฆษณา Google เลย มาเรียนจะตามทันและรู้เรื่องไหม? “

ก็กลับไปที่ถามว่า ใครเหมาะจะมาเรียนก็อย่างที่ว่าคือ ต้องเป็นคนที่ทำโฆษณาหรีอว่ามี traffic เข้ามาที่เว็บไซต์อยู่แล้วถามว่าถ้าไม่ได้ทำ Google แต่มี traffic เข้ามาที่เว็บไซต์อยู่แล้ว

” คืออะไรที่ว่าไม่ทำ Google แล้วมี traffic อยู่แล้ว “

ก็โอเค มี traffic ก็คือมีคนเข้าเว็บไซต์มาจากช่องทางอื่น ที่มันไม่ใช่ Google ไง ตรงนั้นคือเกณฑ์ ก็คือคนต้องเข้า เว็บไซต์เรามา มีข้อมูลให้เราวิเคราะห์เราถึงมีเหตุผลที่จะมาเรียนเพื่อไปวิเคราะห์ ข้อมูล ถ้าเรายังไม่มีข้อมูล มาให้วิเคราะห์เลยอย่างนี้เราต้องไปทำให้มันมีข้อมูลคือต้องไปทำ ให้คนเข้าเว็บไซต์เรามาก่อนแล้ว Analytics เป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง

” มานั่งเรียนก่อนเฉยๆได้ไหมแบบยังไม่ทำ แต่ว่ามาเรียนเพื่อรู้ก่อนแล้วเอาไปทำ “

ก็ได้นะ ก็ได้เพราะว่า Google Analytics มันเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลทีนี้ Google Adwords official ของต่างประเทศเขามี เขาเรียกว่า Demo Account ที่เขาเปิดให้ทุกคนสามารถเข้าไปดูสถิติแล้วลองวิเคราะห์ ดูได้ ดังนั้น การบ้านรวม ๆ อันหนึ่ง ที่พี่จะให้มันมีก็คือ วิเคราะห์ตัว Demo Account นี่แหละ ดังนั้นก็เรียนเพื่อหัดวิเคราะห์แล้วเอาไปเป็นภาพประกอบตอนที่ทำการตลาดจริง ก็คือได้คือแต่ก่อน เวลาจัดคอร์ส พี่ก็ตั้งความหวังว่าโอโห อยากให้คนมาเรียน แล้วก็มาทำช่วงนี้แล้วก็ให้ได้ผล ให้ได้ยอดขายให้ได้ค่าเรียนคืนให้เร็วที่สุด อะไรอย่างนี้พี่ก็หวังอย่างนั้น ให้มันเกิดขึ้น 100% เลยแต่ความเป็นจริง หลังจากสอนไปมาก ๆก็รู้ว่าคือแต่ละคน ก็คนละสไตล์ บางคนก็เป็นนักบริหาร บางคนก็เป็นนักบริหารก็อยากมาเรียนให้มันเปิดโลก เปิดมุมมองแล้วก็จะได้ไปกำกับงานคนอื่นได้บางคนก็เป็นคนที่ทำก่อนเจอปัญหาแล้วค่อยมาเรียนบางคนก็เป็นคนที่ จะไม่ยอมลงทุน กับการต้องไปเสี่ยงเลยก็คือเลือกที่จะทำอะไร มาเรียนรู้ก่อนแล้วค่อยทำให้มันถูกต้องก่อนที่จะเริ่มสตาร์ท อะไรอย่างนี้ คือคนมันก็มีหลายสไตล์ดังนั้นพี่ก็ให้ guideline ไว้ว่าถ้าไปเรียนแล้วจะไปใช้ได้ทันทีเลยก็คือต้องมี traffic เข้าเว็บไซต์ประมาณหนึ่งคนเข้าเว็บไซต์ประมาณหนึ่งแต่ว่าถ้าเกิดบอกว่า ไม่ซีเรียสอยากรู้ไว้ก่อน อะไรอย่างนี้ก็คือได้ ได้หมดเพราะมี Demo Account ของ Google ให้