การเพิ่มประสิทธิภาพทำโฆษณา Google Ads โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในอันดับ 1 ใน Google
การทำโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Ads ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นและยอดขายผ่านช่องทางดิจิทัล อย่างไรก็ตาม หลายคนยังมีความเชื่อว่า การได้ อันดับ 1 ใน Google บนหน้าค้นหาจะทำให้โฆษณานั้นขายดีที่สุด ซึ่ง ความจริงแล้วไม่ใช่เสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่ต้องพิจารณากลยุทธ์ในการใช้ Google Ads ให้สอดคล้องกับงบประมาณและการสร้างกำไร
ความเชื่อที่ว่าอันดับ 1 ใน Google คือสิ่งที่ดีที่สุด
มีความเชื่อกันว่า อันดับ 1 ใน Google จะนำไปสู่ความสำเร็จสูงสุด เพราะผู้บริโภคมักจะคลิกโฆษณาที่แสดงเป็นอันดับแรกเสมอ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อนี้อาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป พวกเขามักเปรียบเทียบสินค้าและบริการจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจซื้อ
1) พฤติกรรมผู้บริโภค ไม่ได้ดูแค่โฆษณาอันดับ 1 ใน Google
การเลือกโฆษณาของผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่ โฆษณาอันดับ 1 ใน Google เท่านั้น ผู้บริโภคมักจะเปรียบเทียบหลายๆ โฆษณาก่อนตัดสินใจซื้อ หากโฆษณาอันดับรองลงมาตรงกับความต้องการของลูกค้ามากกว่า ลูกค้าก็มีโอกาสสูงที่จะคลิกโฆษณานั้นแทน ตัวอย่างเช่น
• เมื่อผู้บริโภคค้นหา “คอนโด ทองหล่อ” โฆษณาอันดับ 1 อาจเป็นโครงการคอนโดในพื้นที่อื่น แต่โฆษณาอันดับ 3 อาจตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากกว่า อันดับ 1 ใน Google จึงไม่ใช่คำตอบเสมอไปสำหรับการคลิกและการตัดสินใจซื้อ
2) การแข่งขันอันดับ 1 ใน Google มีราคาสูง
การพยายามครอง อันดับ 1 ใน Google บน Google Ads มีราคาสูงมาก เนื่องจากมีการแข่งขันจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการแย่งชิงอันดับ ทำให้ค่าโฆษณา (CPC) สูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องเน้นการทำกำไร การพยายามแย่งอันดับ 1 อาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเกินจำเป็น โดยที่ผลลัพธ์ไม่ได้ตามที่คาดหวัง
กลยุทธ์การทำโฆษณา Google Ads โดยไม่ต้องครองอันดับ 1 ใน Google
การประสบความสำเร็จในการทำโฆษณาบน Google Ads ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องครอง อันดับ 1 ใน Google เสมอไป โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด การใช้กลยุทธ์ที่เน้นประสิทธิภาพและการทำกำไรเป็นหัวใจสำคัญ แนะนำกลยุทธ์ ดังนี้ครับ
1) เน้นกำไร ไม่ใช่อันดับ 1 ใน Google
ธุรกิจควรตั้งเป้าหมายในการทำโฆษณาโดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างกำไร แทนที่จะมุ่งหวังการครอง อันดับ 1 ใน Google การเลือกทำโฆษณาในอันดับที่ต่ำกว่า เช่นอันดับ 3 หรือ 4 ที่มีต้นทุนต่อคลิก (CPC) ต่ำกว่าแต่ยังสามารถสร้างยอดขายได้ดีอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
2) แบ่งแคมเปญโฆษณาเพื่อเพิ่มโอกาส โดยไม่ต้องครองอันดับ 1 ใน Google
การจัดการงบประมาณโดยการแบ่งแคมเปญโฆษณาออกเป็นหลายส่วนสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการปรับปรุงและทดลองกลยุทธ์ใหม่ๆ คุณอาจเลือกแบ่งงบประมาณ 70% เพื่อทำยอดขาย และ 30% เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ วิธีนี้จะช่วยให้โฆษณาของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น แม้จะไม่ได้ครอง อันดับ 1 ใน Google ก็ตาม การแข่งขันเพื่อ อันดับ 1 ใน Google ไม่ได้เป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอไป แต่การกระจายงบประมาณและเน้นสร้างกลยุทธ์ที่หลากหลายจะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้มากกว่า
3) ใช้คีย์เวิร์ดหลากหลายเพื่อแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเป็นอันดับ 1 ใน Google
การใช้คีย์เวิร์ดที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญในการทำโฆษณา ธุรกิจ SME ควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ครอบคลุมเพื่อลดการแข่งขันในคำหลักที่มีราคาสูง และยังช่วยขยายการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ อีกด้วย การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับสินค้าและบริการจะช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงผลในตำแหน่งที่เหมาะสมและดึงดูดลูกค้าได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน อันดับ 1 ใน Google การแข่งขันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่การครองอันดับแรกเสมอไป แต่เป็นการใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
4) สร้างข้อความโฆษณาที่ตรงใจ แม้ไม่ต้องเป็นอันดับ 1 ใน Google
การสร้างข้อความโฆษณาที่ชัดเจนและดึงดูดใจมีความสำคัญอย่างยิ่ง ช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้บริโภคจะคลิก แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ใน อันดับ 1 ใน Google ก็ตาม การเน้นถึงข้อดีและคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยตรง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อปรับกลยุทธ์และแข่งขัน โดยไม่ต้องเป็นอันดับ 1 ใน Google
ธุรกิจควรติดตามและศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่งในการทำโฆษณาบน Google Ads การรู้ว่าคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดอะไรและมีการจัดอันดับอย่างไร จะช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์ของตนเองให้แข่งขันได้ดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องแย่งชิง อันดับ 1 ใน Google การวิเคราะห์ข้อมูลจากคู่แข่งจะทำให้คุณสามารถวางแผนการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม
6) วัดผล ROI และปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเป็นอันดับ 1 ใน Google
การติดตามและวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญมากในการปรับปรุงแคมเปญโฆษณา เมื่อคุณสามารถระบุได้ว่าแคมเปญใดได้ผลดีและแคมเปญใดที่ไม่คุ้มค่า คุณจะสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมุ่งไปที่การครอง อันดับ 1 ใน Google เพียงอย่างเดียว กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่การสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการลงทุน และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าได้อย่างยั่งยืน
กรณีศึกษา : ผลลัพธ์จากการลดอันดับโฆษณาแทนที่จะครองอันดับ 1 ใน Google
ในกรณีศึกษาที่ อ.เบิร์ด ยกตัวอย่างในวิดีโอ ลูกค้าทำโฆษณา Google Ads โดยมุ่งหวังที่จะครอง อันดับ 1 ใน Google แต่กลับประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากต้นทุนการโฆษณาที่สูงเกินไป เมื่อพวกเขาปรับกลยุทธ์โดยลดอันดับโฆษณาลงมาอยู่ที่อันดับ 3 หรือ 4 กลับพบว่ามียอดขายที่ดีขึ้น และได้กำไรมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุหลักมาจากการลดต้นทุนต่อคลิก (CPC) ซึ่งทำให้การทำโฆษณามีความคุ้มค่ามากขึ้น การพยายามครอง อันดับ 1 ใน Google ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป แต่การใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดและการปรับกลยุทธ์สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่า
บทสรุป
การทำโฆษณาบน Google Ads ไม่จำเป็นต้องมุ่งหวังการครอง อันดับ 1 ใน Google เสมอไป โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องคำนึงถึงการทำกำไร การแข่งขันเพื่ออันดับ 1 อาจทำให้ต้นทุนการโฆษณาสูงเกินไป และไม่คุ้มค่ากับผลตอบแทน การเน้นไปที่การสร้างโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การเลือกคีย์เวิร์ดที่หลากหลาย และการวัดผล ROI อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องแข่งขันในอันดับสูงสุด
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการทำ Google Ads คือธุรกิจที่สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่นและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน อันดับ 1 ใน Google แต่ธุรกิจก็สามารถสร้างยอดขายและผลกำไรได้อย่างยั่งยืน