วันนี้ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้จบ Scientific Advertising ชื่อหนังสือถือว่าน่าสนใจมากๆครับ แต่หนังสือเนื้อหาไม่ได้ลงรายละเอียดอย่างที่ผมคาดหวังไว้มากนัก แต่ก็ถือว่าทำให้จุดประกายความคิดในการทำการตลาดได้พอสมควรครับ
โดยที่เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือ จะเน้นสนับสนุนว่า ศาสตร์การตลาดควรจะคล้ายกับวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างควรจะมีเหตุ มีผล และสามารถวัดผลลัพธ์ได้
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เชื่อว่า การตลาดจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อ มันทำยอดขายได้เท่านั้น
การตลาดเปรียบเสมือนพนักงานขาย แต่ต่างกันตรงที่ การตลาดสามารถขายของได้เป็นทวีคูณเมื่อเทียบกับพนักงานขาย
ดังนั้นทุกการทำการตลาดคุณควรจะตอบได้ว่า คุณได้ผลลัพธ์อะไรกลับมาบ้าง และมันเกิดขึ้นได้อย่างไรแบบวิทยาศาสตร์
ผมขออนุญาติยกตัวอย่าง เช่น ถ้าหากมีใครเอาเงินมาโปรยลงจากตึกจำนวน 100,000 บาท คุณคงจะคิดว่าคนนั้นต้องบ้าแน่ๆ
แต่พอเป็นเรื่องการตลาด กลับมีคนมากมายที่โปรยเงิน 100,000 บาท ทิ้ง โดยที่ไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
คุณอาจจะคิดว่า นั่นคงเกิดกับเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก หรือกลางที่คนทำการตลาดไม่มีประสบการณ์มากนัก
แต่จากประสบการณ์ผม + กับที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมบอกได้เลยว่า ไม่เกี่ยวกับธุรกิจเล็ก หรือใหญ่
ธุรกิจใหญ่ผมก็เห็นมามากมายเหมือนกัน ที่กล้าที่จะออกสินค้าซัก 2-3 ตัว โดยการนั่งคุยกันแบบไม่มีข้อมูลบนโต๊ะประชุม แล้วก็อัดเงินโฆษณาเป็นหลักแสน หรือหลักล้านบาท โดยที่ถ้าผลลัพธ์ไม่ได้อย่างที่หวัง ก็พร้อมที่จะยอม “ทำใจ”
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เห็นธุรกิจเล็กๆ วางแผนอย่างรอบคอบมากๆ ก่อนที่จะเริ่มทำ Campaign Google Adwords ซักอัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ผมเห็นจากเคสเจ้าที่วางแผนรอบคอบมากๆ ทุกเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างมาก
เรียกได้ว่า Conversion จะวิ่งมาภายในหลักนาทีเลยทีเดียว (ใช้งบหลักพันต่อวัน)
สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดในการทำการตลาดคือ การเริ่มทดลองจาก Campaign เล็กๆ ใช้งบประมาณเล็กๆ ซึ่งสอดคล้องกับหนังสือเล่มนี้ที่บอกว่า ถ้าคุณขายของคน 1,000 คนได้ คุณก็ขายของคน 1,000,000 คนได้เช่นกัน
ต่อไปนี้คือ 3 ขั้นตอนที่ผมแนะนำในการทำการตลาดออนไลน์
1) เลือกกลุ่มเป้าหมายที่คิดว่าใช่ที่สุด
2) เลือก Message ที่คิดว่าใช่ที่สุด
3) วัดผล
ถ้าหากยังไม่ได้ผลที่น่าพอใจ ต้องปรับข้อ 1 หรือข้อ 2 ก่อน
แล้วก็ทดลองอีกครั้ง เพื่อได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้ว ค่อยขยายผลโดยการอัดเงินโฆษณาเพิ่ม
ผมเชื่อว่าวิธีนี้เป็นการทำ Marketing ที่ความเสี่ยงต่ำที่สุด
แต่ถ้าหากคุณบอกว่า คุณไม่ Worry เรื่องงบมากนัก แต่คุณ Worry เรื่อง เวลาที่เสียไปมากกว่า
คุณก็สามารถที่จะเพิ่มงบประมาณโฆษณา ในการ “ทดสอบ” ได้ เพื่อเร่งความเร็วในการทดสอบ
แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรใช้เวลาที่น้อยเกินไปในการทดสอบ แม้ว่าคุณจะใช้งบ และได้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาทดสอบเยอะ
เหตุผลเป็นเพราะว่า
…วันจันทร์ กับวันอาทิตย์ ผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนกัน
…วันต้นเดือน กับปลายเดือน ผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนกัน
…วันธรรมดา กับวันหยุดราชการ ผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนกัน
ดังนั้นคุณควรใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์- 2 สัปดาห์ เพื่อทดสอบ
กลับมาที่หนังสือ Scientific Advertising กันอีกซักนิด
เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นมานานมากแล้ว ผมเข้าใจว่าก่อนที่ยุคออนไลน์มาร์เก็ตติ้งจะบูม
เพราะดูลักษณะคนเขียนจะเน้นเรื่อง Direct Marketing (การทำการตลาดทางจดหมาย) มากๆ
เคสการอธิบายจึงไม่สามารถลงลึกได้มากนัก
ผมเชื่อว่าถ้าคนเขียนอยู่ในยุคของออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง และนำเคสจากการลงมือทำจริงมาเล่า
เค้าน่าจะลงรายละเอียดได้มากกว่านี้ และมีเคสมากมายมาให้เล่าเพิ่ม
เพราะว่าการวัดผลคือหัวใจของการทำการตลาดออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ
แล้ววันนี้คุณวัดผลการตลาดของคุณอย่างไรกันบ้างครับ? แชร์ให้ฟังกันบ้างนะคร๊าบบ